Nissan Leaf จุดประกายรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทย

ฮือฮากันตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้จองในประเทศไทย สำหรับ นิสสัน ลีฟ รถยนต์ไฟฟ้าทางเลือกใหม่จากนิสสัน ที่มาทำให้ความฝันของแฟน EV (รถยนต์ไฟฟ้า 100%) ของไทยเริ่มเป็นจริงขึ้นมา จากเดิมที่มีทางเลือก ปลั๊ก-อิน ไฮบริด รถยนต์ลูกครึ่งไฟฟ้า-น้ำมัน จากหลายค่ายเข้ามาทำตลาด

นิสสัน ลีฟ เปิดให้คนไทยจับจองเป็นเจ้าของ แบบพรีออเดอร์ ครั้งแรกในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018 ที่ว่าพรีออเดอร์ ก็เพราะ เป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่น (ยังไม่ประกอบในไทย) เปิดตัวด้วยราคา 1.99 ล้านบาท ก็ถือว่าราคาแรงพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนสนใจจับจองแล้ว และต้องบอกว่า จองในงานวันนี้ รับรถอีกทีก็เมษายน 62 ไปแล้ว

ผมลองเข้าไปสอบถามกับทางนิสสัน ได้ความว่าผู้ที่มาจับจองรถประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าที่เคย ได้ลองทดสอบรถมาแล้ว และกลุ่มลูกค้าที่เคยได้สัมผัสจากต่างประเทศ แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ในประเทศไทยยังคงมองว่าราคา 1.99 ล้านบาท ยังแพงเกินไปไม่ตอบโจทย์ ด้วยขนาดรถที่เล็ก ซึ่งอาจไม่ถูกใจคนไทยที่มักจะคิดว่า ถ้าหากต้องควักเงิน เกือบ 2 ล้านบาทเพื่อซื้อรถสักคัน ก็ขอให้ได้นั่งรถใหญ่ ขับนั่งสบาย เสริมโหงวเฮ้ง มีหน้ามีตาในสังคม แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่าถ้าเทียบราคากับเทคโนโลยีที่ใส่ลงไปแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอสมควร

ที่ว่าคุ้มค่า คุ้มราคา ก็เพราะนิสสัน ลีฟ คันนี้ มีค่าใช้จ่ายในการชาร์ตแบตเตอรี่ อยู่ที่ประมาณ 170 บาทต่อครั้ง วิ่งได้ประมาณ 320 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันของรถไซส์เดียวกัน เต็มถังก็น่าจะเป็น 1,000 บาท วิ่งได้ระยะทางพอๆ กัน เท่ากับว่า ประหยัดไปได้ 800 บาทต่อการเติมพลังงาน 1 ครั้ง เมื่อเทียบดูแล้วระยะยาวก็น่าจะคุ้ม

แต่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ปีนี้ไม่มีแค่ นิสสัน ลีฟ ที่เปิดให้จองเท่านั้น ยังมีอีกหนึ่งคู่แข่ง ก็คือเจ้าฮุนได ไอออนิค ที่เปิดให้จองในราคา 1,749,000 ซึ่งถูกกว่า นิสสัน ลีฟ อยู่ถึง 241,000 บาท

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความนิยมในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งสองรุ่น สองค่าย ของผมในวันนี้ ก็ต้องบอกเลยว่า คนไทยเริ่มหันมาสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากพอสมควร แม้จะยังไม่ตัดสินใจจอง หรือ ซื้อในวันนี้ แต่ผมยังเชื่อว่าเมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม สถานีชาร์ตไฟพร้อม แบตเตอรี่ราคาถูกลง และที่สำคัญรถยนต์ไฟฟ้า 100% ราคาถูกลงในระดับที่คนจับต้องได้ (แหล่งข่าววงการยานยนต์ของผมกระซิบมาว่า อย่างน้อย ๆ ก็อย่าแพงกว่า เทสลาร์ หรือไม่ก็อยู่ระดับล้านต้น ๆ) ก็คงจะทำให้คนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราก็คงจะกว้างขวางมากขึ้นกว่านี้

Scroll to Top