แข่งเดือด ตลาด Robotaxi คาดทะยานสู่แสนล้านดอลลาร์

แข่งเดือด ตลาด Robotaxi คาดทะยานสู่แสนล้านดอลลาร์

เปิดศึกตลาด “แท็กซี่ไร้คนขับ” Robotaxi คาดการณ์โตแรง พุ่งสู่ 1.88 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2034 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ขณะที่เอเชียแปซิฟิกครองแชมป์ผู้เล่นรายใหญ่รุมตอม แล้วอนาคตการเดินทางจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นผู้ชนะ?

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด แท็กซี่ไร้คนขับไม่ใช่แค่ภาพฝันในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “เมกะเทรนด์” ที่ทั่วโลกจับตามอง ด้วยศักยภาพในการพลิกโฉมรูปแบบการเดินทาง และระบบขนส่งมวลชน สู่มิติใหม่แห่งความสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

ลองจินตนาการถึงโลกที่เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการจราจรติดขัด ไม่ต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ และไม่ต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของมนุษย์ เพียงแค่เรียกแท็กซี่ไร้คนขับผ่านแอปพลิเคชัน รถยนต์อัจฉริยะก็จะมารับเราถึงหน้าประตู และพาเราไปส่งยังจุดหมายปลายทางโดยอัตโนมัติ

ตลาด Robotaxi : สมรภูมิเดือด แห่งอนาคต

รายงานการวิเคราะห์ตลาดล่าสุด เผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาด Robotaxi ทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดจะพุ่งสูงถึง 1.88 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2034 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 60.03%

การเติบโตที่ร้อนแรงนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI, LiDAR, และ 5G ความต้องการระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ และ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ

การแข่งขันในตลาด ดุเดือด ร้อนแรง ผู้เล่นรายใหญ่ ทั้งบริษัทยานยนต์ และบริษัทเทคโนโลยี ต่างงัดกลยุทธ์ และ “ไม้เด็ด” ออกมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ไม่ว่าจะเป็น…

  • Tesla : ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot)
  • Waymo (Google) : ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับที่มีประสบการณ์ยาวนาน
  • Uber และ Lyft : ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ Ride-hailing ที่ต้องการขยายธุรกิจสู่แท็กซี่ไร้คนขับ
  • Baidu : ผู้นำด้านเทคโนโลยี AI ของจีน ที่กำลังทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับในหลายเมือง
  • Hyundai : บริษัทรถยนต์ ที่ร่วมมือกับ Motional พัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับพลังงานไฟฟ้า

ปัจจัยขับเคลื่อน : อะไรทำให้ Robotaxi มาแรง?

  • ความปลอดภัย : สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า “ความผิดพลาดของมนุษย์” เป็นสาเหตุหลักแท็กซี่ไร้คนขับจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยี AI, LiDAR, RADAR, เซ็นเซอร์ และกล้อง ที่ช่วยในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง และควบคุมการขับขี่ ตัวอย่างเช่น ระบบ Autopilot ของ Tesla สามารถ เบรก เร่งความเร็ว และ เลี้ยว โดยอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงจากการหลับใน เมาแล้วขับ หรือ การใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
  • ลดต้นทุน : แท็กซี่ไร้คนขับช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ บริษัท Ride-hailing อย่าง Uber และ Lyft มองเห็นโอกาสในการลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไร ด้วยการใช้แท็กซี่ไร้คนขับแทน “คนขับ”
  • แก้ปัญหาจราจรติดขัด : แท็กซี่ไร้คนขับสามารถวิเคราะห์เส้นทาง และเลือกเส้นทางที่เหมาะสม ช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และประหยัดเวลาในการเดินทาง นอกจากนี้ แท็กซี่ไร้คนขับยังสามารถสื่อสาร และ “ประสานงาน” กันเอง เพื่อ “จัดการ” การจราจร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เทรนด์ “สังคมไร้เงินสด” : แท็กซี่ไร้คนขับรองรับการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล สอดรับกับเทรนด์ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) ผู้โดยสารสามารถชำระค่าโดยสาร ผ่าน แอปพลิเคชัน หรือ ระบบ E-wallet ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ ปลอดภัย
  • นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ : หลายประเทศ มีนโยบายสนับสนุนการพัฒนา และการใช้งานแท็กซี่ไร้คนขับเพื่อพัฒนา ระบบขนส่ง และ เศรษฐกิจดิจิทัล ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ มีแผนที่จะนำแท็กซี่ไร้คนขับมาใช้ในระบบขนส่งมวลชน ภายในปี 2025

ความท้าทาย : อุปสรรคที่ต้องเผชิญ

  • ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี : แม้แท็กซี่ไร้คนขับจะก้าวหน้าไปมาก แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น การรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน (ฝนตกหนัก หมอกลงจัด) การตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน (อุบัติเหตุ ) และ การรับมือกับพฤติกรรม “คาดเดาไม่ได้” ของมนุษย์ (คนข้ามถนนกะทันหัน)
  • ความกังวลด้านความปลอดภัย : ผู้คนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแท็กซี่ไร้คนขับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เกิด “เหตุการณ์ไม่คาดฝัน” (ระบบขัดข้อง โดนแฮ็ก)
  • กฎหมาย และ ข้อบังคับ : ในหลายประเทศ ยังไม่มีกฎหมาย และข้อบังคับที่ชัดเจน เกี่ยวกับการใช้งานแท็กซี่ไร้คนขับ เช่น ใบอนุญาตขับขี่ การประกันภัย และ ความรับผิดชอบ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
  • การยอมรับของสังคม : การเปลี่ยนแปลง มักมาพร้อมกับแรงต้าน ผู้คนบางส่วน อาจไม่ยอมรับ หรือ ต่อต้านการใช้งานแท็กซี่ไร้คนขับเนื่องจาก “ความกลัว” (ตกงาน เทคโนโลยีครอบงำ) หรือ “ความไม่คุ้นเคย” (ไม่ไว้ใจ AI)

“สงคราม” ยังไม่จบ อนาคต Robotaxi จะเป็นอย่างไร?

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ Robotaxi ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง และได้รับการคาดหมายว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบขนส่งแห่งอนาคต

การแข่งขันในตลาดจะยิ่งทวีความรุนแรง ผู้เล่นรายต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสร้างความมั่นใจ และ “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้บริโภค รวมถึงร่วมมือกับภาครัฐในการกำหนด กฎระเบียบ และมาตรฐาน เพื่อขับเคลื่อน “ยานยนต์ไร้คนขับ” สู่ความสำเร็จ

ใครจะเป็นผู้ชนะ

คงต้องติดตามกันต่อไป… แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือ อนาคตของการเดินทาง กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

  • เอเชียแปซิฟิก : เป็นผู้นำตลาด Robotaxi โดยมี จีน, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีการลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยี “ยานยนต์ไร้คนขับ” อย่างจริงจัง
  • ยุโรป : ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัย และ ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนา Robotaxi พลังงานไฟฟ้า (EV)
  • LiDAR และ RADAR : เป็นเทคโนโลยี “ตัวชูโรง” ที่ช่วยในการตรวจจับ และ นำทาง Robotaxi LiDAR (Light Detection and Ranging) ใช้แสงเลเซอร์ ในการสร้างแผนที่ 3 มิติ ของสภาพแวดล้อม RADAR (Radio Detection and Ranging) ใช้คลื่นวิทยุ ในการตรวจจับวัตถุ และ ระยะทาง

Robotaxi คือ “Game Changer” แห่งวงการขนส่ง ที่กำลัง “Disrupt” โลก การแข่งขันในตลาด จะยิ่งทวีความรุนแรง และ “เข้มข้น” ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่สามารถ “ปรับตัว” และ “นำหน้า” เท่านั้น จึงจะอยู่รอด และ “ครองบัลลังก์” ในอนาคต

#Robotaxi #แท็กซี่ไร้คนขับ #รถยนต์ไร้คนขับ #เทคโนโลยียานยนต์ #อนาคตการเดินทาง #AI #ปัญญาประดิษฐ์ #ตลาดรถยนต์ #เศรษฐกิจดิจิทัล #นวัตกรรม #LiDAR #RADAR #Tesla #Waymo #Uber #Baidu #Hyundai

ที่มา precedenceresearch.com , fortunebusinessinsights.com

รู้จักกับ El Capitan ยอดเขาแห่งพลังประมวลผล สุดยอดซูเปอร์คอมพิวเตอร์เร็วที่สุดในโลก

Scroll to Top