นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงความร่วมมือครั้งสำคัญในครั้งนี้ว่า “ยุทธศาสตร์ของไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อให้ธนาคารกลายเป็นแพลตฟอร์ม (Platform Banking) รวมถึงการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง (Partnership Banking) เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัล (Digital Ecosystem) ให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ การมีแพลตฟอร์มและพันธมิตรที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำ หรือ Key Player หลักในแต่ละอุตสาหกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ช่วยให้ธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายในการมอบสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า และสามารถเติบโตไปพร้อมกับพาร์ทเนอร์ของเราได้อย่างมั่นคง กลุ่มบริษัทในเครือซีพี ออลล์ ไม่ได้เป็นเพียงพันธมิตรทางธุรกิจทั่วไปเท่านั้น แต่เป็นคีย์พาร์ทเนอร์ชิพด้านธุรกิจรีเทลที่สำคัญของธนาคาร มีวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกัน มีความมุ่งมั่นและจริงจังในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อรับมือกับบริบทของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปทุกวัน และเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว”
“ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการนำเอาจุดแข็งของสององค์กรมาผสานเข้าด้วยกัน ทั้งด้านความเชี่ยวชาญทางการเงินของไทยพาณิชย์ และการมีจุดให้บริการกว่า 11,000 แห่งทั่วประเทศของเซเว่นอีเลฟเว่น จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างสรรค์ประสบการณ์ในการให้บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์และเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริงแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) อีกด้วย” นายอาทิตย์ กล่าวเสริม
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และเป็นผู้นำในการให้บริการรับชำระเงินค่าสินค้า และบริการต่างๆ ผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น และจุดบริการชั้นนำทั่วประเทศ การร่วมเป็นพันธมิตร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นการตอกย้ำความพร้อมของเรา ที่สามารถมอบสินค้าและบริการ ที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมงให้ทุกชุมชน”
นายวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด กล่าวเสริมว่า “ในความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการเป็นตัวแทนสถาบันการเงิน หรือ แบงก์กิ้งเอเย่นต์ (Banking Agent) ซึ่ง เคาน์เตอร์เซอร์วิส นั้นมีความมุ่งมั่นจะใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่บริษัทฯ ผสานกับการพัฒนาบุคลากร ตลอดจน สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้าให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และด้วยจุดให้บริการของร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่เพียงเฉพาะการฝาก-ถอน ผ่านช่องทาง Digital เท่านั้น เรายังดูแลกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึงผู้ใช้บริการแบบ Non Digital ด้วย ซึ่งเป็นบริการรับฝากเงิน เพียงระบุเลขที่บัญชีธนาคาร และเบอร์โทรศัพท์ ก็สามารถใช้บริการได้ เราเชื่อมั่นว่า บริการรับฝาก-ถอนเงิน ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นของเราจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด อาทิ สามารถลดต้นทุนในการเดินทาง สร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของทุกท่าน ยิ่งได้พันธมิตรซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำระดับประเทศ อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ใช้บริการและประชาชนทั่วไปยิ่งมั่นใจได้ว่า บริการรับฝาก-ถอนเงินที่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ของเราจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างดี และในขณะเดียวกัน ก็สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้บริการให้ได้รับความสะดวกมากขึ้นด้วย”
นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงการเปิดตัวบริการแบงก์กิ้งเอเย่นต์ว่า “พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่ที่สาขาหรือช่องทางหลักของธนาคารอีกต่อไป ไทยพาณิชย์ต้องการเข้าถึงเพื่อมอบบริการทางการเงินให้กับลูกค้าของเราในทุกๆ touchpoint ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ พร้อมกันนี้เราพบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการทำธุรกรรมเงินสดโดยเฉพาะการฝาก-ถอนช่วงหลังเวลาทำการปกติอยู่จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เองธนาคารจึงได้ร่วมกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส เปิดตัวแบงก์กิ้งเอเย่นต์ภายใต้ชื่อ “SCB Service” ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารไทยพาณิชย์ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่เซเว่นอีเลฟเว่น กว่า 11,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีไฮไลท์ของการให้บริการ คือ ครั้งแรกของแบงก์กิ้งเอเย่นต์ในประเทศไทยที่ให้บริการฝาก-ถอนเงินสดบัญชีเงินฝากไทยพาณิชย์แบบดิจิทัลด้วย QR Code โดยทำผ่าน แอปพลิเคชัน SCB EASY สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องจำเลขบัญชีผู้รับฝาก ไม่ต้องกรอกเอกสารให้วุ่นวาย สามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยธนาคารคาดว่าหลังจากเปิดให้บริการฯ จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดธุรกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 แสนรายต่อเดือน”
“นอกจากนี้เราทั้งสององค์กรยังได้ร่วมกันศึกษาการให้บริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อต่อยอดและพัฒนาสู่การเป็น “Total Digital Financial Solution” โดยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาเป็นแกนสำคัญในการพัฒนา เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการทางการเงินในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การโอนเงินแบบไม่มีบัญชีปลายทาง การโอนเงินต่างประเทศ การเปิดบัญชี บริการด้านสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการนำคะแนนสะสมมาใช้ร่วมกัน เป็นต้น” นายสารัชต์ กล่าวเสริม