SCB CIO เตือนหลังเฟดประกาศ QT ตลาดอาจผันผวนสูง แนะเก็บหุ้นยุโรป สหรัฐฯ เวียดนาม และกองทุน Global Megatrends

SCB CIO เตือนหลังเฟดประกาศ QT ตลาดอาจผันผวนสูง แนะเก็บหุ้นยุโรป สหรัฐฯ เวียดนาม และกองทุน Global Megatrends

SCB CIO คาดตลาดอาจผันผวนสูงหลังเฟดมีแนวโน้มประกาศ QT ในการประชุมปลายเดือนมกราคม และเริ่มทำจริงกลางปี 2022 โดยมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่ไปกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า แนะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 2 ปี ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้แนะทยอยสะสมหุ้นที่มีการปรับตัวลง เน้นหุ้น Quality growth ในตลาดยุโรป สหรัฐ  และเวียดนาม มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ

หุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ ยอดจองซื้อเต็มใน 3 นาที 38 วินาที
CYFIRMA จับมือ nForce Secure พัฒนาระบบอัจฉริยะ จัดการภัยคุกคามไซเบอร์

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (SCB CIO) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมปรับนโยบายการเงินตึงตัวเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้และเร็วกว่าการปรับนโยบายในรอบปี 2017-19 จากปัญหาเงินเฟื้อในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมากกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ เฟด เตรียมปรับทิศทางการทำนโยบายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่การจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อเต็มตัว โดยคาดว่า เฟด จะทำการลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing taper) เสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมนี้ และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเดียวกัน

โดย SCB CIO คาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย ในปี 2022-2023 ปีละ 3 ครั้ง และ ในปี 2024 อีก 2 ครั้ง นอกจากนั้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ได้เปิดเผยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า น่าจะมีการทำการลดขนาด balance sheet (balance sheet runoff หรือ Quantitative Tightening: QT) เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้  โดยปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญในช่วงเวลานี้คือการเปิดเผยรายละเอียดการประกาศ QT ที่น่าจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC วันที่ 25-26 มกราคมนี้  ทั้งนี้ SCB CIO คาดว่าการทำ QT น่าจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2022 และจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า แต่ในรอบนี้เฟดจะทำนโยบายการเงินตึงตัวเร็วกว่าในช่วงปี 2017-19 เนื่องจากได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องที่เร็วและแรงกว่ารอบที่แล้ว (Balance sheet ของ Fed ล่าสุดสูงถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19 ถึง 2 เท่า) รวมถึง การฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่เร็ว และแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มีมากกว่า

ทั้งนี้  บทเรียนจากการทำ QT ของเฟด ในช่วงปี 2017-19 SCB CIO ระบุว่า การประเมินผลกระทบของ QT ในช่วงดังกล่าว ต้องแบ่งช่วงเวลาออกเป็นสองช่วง คือ ช่วงแรก ก.ย. 2017- มิ.ย 2018 และ ช่วงที่สอง ก.ค.2018-ก.ค. 2019 เนื่องจากช่วงที่สองมีผลกระทบของสงครามการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยหากพิจารณาภาวะตลาดการเงินในช่วงแรก ที่มีผลของ QTเป็นหลักนั้น จะพบว่า

  1. ตลาดการเงินโลกผันผวนสูงในช่วงที่เริ่มมีการทำ QT ไปแล้ว 1-2 ไตรมาส
  2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสั้นเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะยาว เนื่องจากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องทำให้เกิด US treasury yield curve มีลักษณะ flattening อย่างต่อเนื่อง
  3. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นในช่วงแรกที่มีการทำ QT เป็นแรงกดดันต่อค่าเงินสกุลอื่นๆ โดยเฉพาะใน EMs
  4. ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง 1-2 ไตรมาสหลังทำ QT โดยมี max drawdown อยู่ระหว่าง 10%-20%
  5. หุ้นในกลุ่ม growth และกลุ่ม value ปรับตัวลดลงทั้งสองประเภท โดยมี max drawdown ไม่ต่างกันมากนัก แต่หุ้นกลุ่ม  quality growth ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งมีการฟื้นตัวที่เร็วกว่าโดยเฉลี่ย

กลยุทธ์การปรับพอร์ตในช่วงที่มีการทำ QT SCB CIO แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้น้อย ในช่วงนี้อาจต้องลดสัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงลงบ้าง โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มี duration น้อยกว่า 2 ปี

ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ เรายังเน้นให้ลงทุนใน ตลาดหุ้น มากกว่า ตลาดพันธบัตร เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดยในตลาดพันธบัตรควรเน้นลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มี duration น้อยกว่า 2 ปี และเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้เอเชีย High Yield ที่มีหุ้นกู้จีน High Yield

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง (buy on dip)  1) แม้ตลาดหุ้นและหุ้นในแทบทุกสไตล์ จะได้รับผลกระทบจากการทำ QT แต่หุ้น Quality growth ในตลาดยุโรป และสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ  และ 2) การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นอีกแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ตลาดเกิดใหม่ (EM) อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า ประเทศ EM ที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่อง เช่น ตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะได้รับผลกระทบในระดับที่จัดการได้ 3) ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ที่ค่อนข้างแพง และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ใน megatrends เช่น Digital disruption, Energy transition, และ Shifting lifestyle รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงที่ Yield Curve ปรับชันเพิ่มขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร (โดยเฉพาะธนาคารในยุโรป)

นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนในกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) การลงทุนใน Private Asset  เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและลดความผันผวนแก่พอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ เช่น ตลาดหุ้นไทย การลงทุนใน Structure Note KIKO (ตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นที่ดีได้

Scroll to Top