หอการค้าปรับจีดีพี 63 ติดลบหนัก 9.4%

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้แย่ลงกว่าการประเมินครั้งก่อน โดยคาดว่าจะติดลบหนักถึง 9.4% กรณีเลวร้ายสุดมีโอกาสติดลบได้ถึง 11.4% จากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่ยังเพิ่ม ความกังวลการแพร่ระบาดรอบที่ 2 ดับฝัน Travel Bubble ปีนี้ คาดเม็ดเงินหายจากระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท จี้แบงก์เร่งปล่อยซอฟท์โลน และ รัฐเร่งใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท เสริมสภาพคล่อง หลังผลสำรวจพบ ผู้ประกอบการมีแรงประคองธุรกิจได้อีกเฉลี่ยเพียง 6 เดือน

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ว่า อัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 2 ของปีนี้ถือว่าเป็นตัวเลขต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ -15% ซึ่งติดลบมากกว่าช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (ไตรมาส2/2541) ที่ระดับ -12.5% พร้อมปรับคาดการณ์ จีดีพี ทั้งปี63 จากเดิมคาดว่าจะติดลบ 3.4-4.9% เป็นติดลบ 8.4-11.4% หรือค่ากลางติดลบ 9.4% โดยประเมินตัวเลขส่งออก ติดลบ 10.2% เงินเฟ้อ ติดลบ -1.5% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี อยู่ที่ระดับ 90.5%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย​ และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญมาจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลุกลามทั่วโลก และความกังวลการแพร่ระบาดระลอก 2 ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้การส่งออกยังไม่ฟื้นและติดลบหนักขึ้น ขณะที่มาตรการ Travel Bubble มีแนวโน้มชะลอออกไปจากปีนี้ โดยประเมินว่าเม็ดเงินที่จะหายไปจากระบบเศรษฐกิจ ทั้งจากภาคการส่งออก การท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท และหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น รวมถึงซ้ำเติมด้วยปัญหาภัยแล้ง ก็มีโอกาสที่เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจจะหายไปถึง 3 ล้านล้านบาทในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

ขณะเดียวกัน พบว่ามีความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจปลดคนงานจะมีมากขึ้น แม้ขณะนี้ผลการสำรวจจะพบว่า มีธุรกิจที่เริ่มปลดคนงานที่ 13.5% แต่ก็เห็นสัญญาณว่า ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. ที่สิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ หากผู้ประกอบการยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ก็จะมีการปลดคนงานและเลิกกิจการมากขึ้น การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มทำได้น้อย เพราะกำลังซื้อคนในประเทศหายไป 30-40% ขณะที่ภาคธุรกิจประเมินว่า จะสามารถประคองกิจการต่อไปได้อีกเพียง 6 เดือนเท่านั้นหากไม่มีรายได้ หรือมาตรการช่วยเหลือด้านเงินทุนเข้ามาเติมสภาพคล่อง

โดยได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาใช้เงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ในการจ้างงานในตำแหน่งที่ถาวร เพิ่มกำลังซื้อในระบบ และเปิดโอกาสให้นายจ้างสามารถจ้างงานเป็นรายชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเลิกจ้าง​ในภายหลัง รวมถึงการเร่งปรับเงื่อนไขการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟท์โลน) ช่วยเหลือสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการโดยเร็ว และพิจารณาขยายเวลาพักชำระหนี้ต่ออีก 6 เดือน เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการในประเด็นเหล่านี้ จะช่วยแก้ปัญหาการปลดคนงาน และ การปิดกิจการ ให้ลดลงได้ ไม่เช่นนั้นก็มีโอกาสที่จะเห็นจำนวนคนตกงานมากถึง 3 ล้านคนภายใน 6 เดือนจากนี้ โดยเฉพาะในอุตสาหรรมการท่องเที่ยวและบริการ

ภาพประกอบจาก Pixabay

Scroll to Top