บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทยแกว่งลงจากปัจจัยลบ จากความมีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสมชุดใหม่ บวกกับปัจจัยต่างประเทศยังคงเฝ้าติดตาม การประกาศตัวเลข GDP ประมาณการครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับสินค้าเกษตรและยานยนต์ แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ชู กลุ่มพลังงานทางเลือก BGRIM – SSP กลุ่มนิคมและโลจิสติกส์ AMATA – BEM กลุ่มMid to Small Cap – TWPC น่าลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ฝ่ายวิจัยมองดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ SET Index แกว่งลงจากปัจจัยลบจากความมีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดกรณีสัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้าน และการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg Consensus ซึ่งจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง และ PE Valuation ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งการปรับขึ้นของดัชนีจะเป็นเป้าหมายของการขายทำกำไรท่ามกลางความผันผวนจากดัชนีมีโอกาสย่อตัวเข้าหาแนวรับ 1,650 จุด
ดังนั้นฝ่ายวิจัย AECS มองว่า เป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นใน 3 กลุ่ม อาทิ 1)กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดและมีลักษณะคล้าย Fixed Income ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ BGRIM (บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 15-20%YoY หลังรับรู้รายได้โครงการ ABPR3, ABPR4 และ ABPR5 กำลังการผลิตไฟรวม 399 MW เต็มปี บวกกับมีโครงการใหญ่ที่จะ COD ในปี 62 ทั้งโครงการ Solar DTE1&2 กำลังการผลิต 420MW และโครงการ Phu Yen TTP อีก 257MW ซึ่งบริษัทคาดเริ่ม COD ในช่วง 2H62) และSSP (ปี 62 ตั้งเป้า CODเพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 MWและโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1MW จากปี 61 ที่ 90.4MW)
นอกจากนี้ ยังแนะนำ 2)กลุ่มนิคมและโลจิสติกส์ โดย กลุ่มนิคม อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่นแนะนำ AMATA (ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,274 ไร่, พื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,837 ไร่และที่ดินสำหรับ Commercial Area รวม 1,227 ไร่ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 1,005 ไร่จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 863 ไร่) นอกจากนี้มองกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ได้อานิสงส์บวกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
แนะนำ BEM (ตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจรถไฟฟ้ามีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 5-7%YoYจากปีก่อนมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.1 แสนเที่ยวคน/วันทั้งนี้ตั้งเป้าปี 64 จำนวนผู้โดยสารจะแตะ 5-5.5 แสนเที่ยวคน/วัน จากการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ก.ย. 62 และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มี.ค. 63 ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 1-2%YoYใกล้เคียงปีก่อนที่เติบโต 1.3%YoY) และ AOT (ช่วง ม.ค.-มี.ค. 62 เผยจำนวนเที่ยวบินโต 2.71%YoY และจำนวนผู้โดยสารโต 2.41%YoY)
สุดท้ายกลุ่ม 3)Mid to Small Cap โดยเลือกหุ้นที่กำไรปี 62 จะมีแนวโน้มโตเด่นเลือก TWPC ปี 62 คาดกำไรโตเด่น 146.6%YoY จากแผน Inorganic Growth และสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้น และ SVI หนุนด้วยเป้ารายได้โต 20%YoY จากลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รวมถึงลูกค้าจากจีนที่มีความต้องการสินค้าสูงขึ้นหลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นอกจากนี้มีโครงการซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 1,000 ลบ. จำนวน 130 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 17 เม.ย.-16 ต.ค.62
ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงติดตาม การประกาศตัวเลข GDP ประมาณการครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯ ช่วง 1Q/62 ออกมามากกว่าที่ตลาดคาด (Actual 3.2% vs Forecast 2.0%) อีกทั้งการประชุม FED ครั้งถัดไปวันที่ 30-1 พ.ค. ยังคงมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ย บวกกับเริ่มมี Implied Prob. การลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น 0.5-1.4% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการค้าระหว่างประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับสินค้าเกษตรและยานยนต์ หากมีความคืบหน้าจะช่วยเพิ่ม Upside ในช่วงสัปดาห์นี้ได้ อย่างไรก็ดียังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงสั้นจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันให้ OPEC ปรับลดราคาน้ำมันดิบลงส่งผลให้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ยังคงจับตาตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของ FED เช่น ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น