พฤกษา เรียลเอสเตท ประเมินตลาดอสังหาฯ ทั้งปี ติดลบ 30% มองปีหน้าอาจปรับตัวดีขึ้น 10-20% แต่ยังไม่กลับเป็นบวก

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) เปิดเผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 3 พบว่าปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว 10% โดยมีมูลค่าตลาด 80,120 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาด 208,994 ล้านบาท หดตัวลง 31% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นทาวเฮาส์ และบ้านเดี่ยว ที่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด

สำหรับจำนวนสินค้าคงค้างในตลาดในกรุงเทพและปริมณฑล พบว่า เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8% จาก 192,724 ยูนิต ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 207,334 ยูนิตในปีนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคอนโดมีเนียม ราคา 1-2 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคามาขับเคลื่อนตลาดและผลักดันยอดขาย ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยปีนี้(63) ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 20%

อย่างไรก็ตามหากยังไม่มีปัจจัยมาสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในไตรมาส 4 ที่ยังชะลอตัว จึงคาดว่า ทั้งปีตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะติดลบประมาณ 30% ส่วนปีหน้า(2564) คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเริ่มดีขึ้นจากปีนี้ราว 10-20% แต่ยังไม่กลับมาเป็นบวก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 , การส่งออก และภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก และอาจกลับมาปกติได้ในอีก1-2 ปีข้างหน้า

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ของพฤกษาฯ พบว่ามียอดขาย มูลค่า 6,584 ล้านบาท เติบโต 88% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มียอดขาย 3,507 ล้านบาท มีรายได้ 6,353 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 603 ล้านบาท เติบโต 3% และ9.4% จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากผลกระทบโควิด-19 จากการปรับแผนธุรกิจ เน้นเปิดโครงการใหม่ และ ทำรีมาร์เก็ตติ้งในโครงการที่มีศักยภาพสูง ซึ่งสามารถลดจำนวนสินค้าในสต๊อคได้ถึง 31% จากปี 62

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 63 พฤกษาฯ มีโครงการที่เปิดขายอยู่ 166 โครงการ มูลค่า 95,151 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อีก 25,605 ล้านบาท โดยทั้งปี 63 พฤกษามีโครงการเปิดใหม่13 โครงการ พร้อมเร่งเคลียร์สต๊อคคงค้างได้เกือบ 31% ส่วนปีหน้ามีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 25 โครงการ รวมถึงโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการในเดือนพ.ค.64 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตจากปีนี้ราว 10-15% โดยจะปรับกลยุทธ์ ลดสัดส่วนโครงการตลาดล่าง ราคา 1-2 ล้านบาท จากเดิม 40% เหลือ 30% ส่วนตลาดบนสัดส่วนอยู่ที่ราว 10% แต่จะเพิ่มสัดส่วนโครงการระดับกลาง รองรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 ถึง 200,000 บาทซึ่งยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพ

Related Posts

Scroll to Top