บริษัท อีเอสอาร์ กรุ๊ป ลิมิเต็ด (ESR) ผู้บริหารจัดการทรัพย์สินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตโดยกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ ประกาศขยายธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเปิดตัวสำนักงานแห่งแรกของประเทศไทย
ปัจจุบัน ESR มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศไทย จำนวน 2 โครงการ มูลค่าการลงทุน 8,000 ล้านบาท (235 ล้านเหรียญสหรัฐ) โครงการแห่งแรกตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ (แหลมฉบัง) ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีถึงท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) [ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมกิจการพิเศษโดยหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุน ยกระดับนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทย] โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 100 ไร่ (160,000 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area: GFA) ขนาด 93,000 ตารางเมตร คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568
โครงการที่สองตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) มีพื้นที่รวมประมาณ 225 ไร่ (363,500 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (GFA) 253,500 ตารางเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2569 โดยโครงการมีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ถนนเส้นสำคัญที่สะดวกต่อการเดินทางยังใจกลางกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอีกหลายแห่งในประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบัง เหมาะสมกับธุรกิจโลจิสติกส์ในการใช้เป็นฮับกระจายสินค้าไปยังทั่วประเทศ ผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ ศูนย์รวมและกระจายสินค้าผ่านการขนส่งทางอากาศ ตลอดจนธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ
เจฟฟรีย์ เชิน และคุณสจ๊วต กิ๊บสัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม ESR กล่าว “หนึ่งในหลักการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ คือการลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต (Life Sciences) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การขยายฟุตปรินท์ในประเทศไทยครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการขยายธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งเชิงกลยุทธ์ให้แก่ธุรกิจ โดยประเทศไทยมีการพัฒนาสู่ความเจริญอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีจำนวนประชากรและกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่เพื่อรองรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์คุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น นอกจากด้านการเติบโตทางธุรกิจ ESR เล็งเห็นโอกาสการสร้างอาชีพและตำแหน่งงานในประเทศให้มากขึ้น และมุ่งเป็นส่วนหนึ่งแบ่งปันความรู้และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเพื่อยกระดับแรงงานในท้องถิ่นให้มีทักษะสูง ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในภายภาคหน้า พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งให้ความสำคัญด้านการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ควบคู่ไปกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
เจ เมียร์ปูริ Head, Singapore Development & Thailand, ESR Group กล่าว “ด้วยประเทศไทยมีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมียุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่า อาทิ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ โลจิสติกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยนับเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ ESR ในภูมิภาคนี้
ในอีก 5 ปีข้างหน้า ESR ตั้งเป้าลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการระดมทุนจากกองทุนพัฒนาของบริษัทฯ โดยมูลค่าการลงทุนนี้สอดคล้องกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี พ.ศ 2565-2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 3.28% บริษัทฯ เชื่อว่าทำเลยุทธศาสตร์ โซลูชั่นอาคารเพื่ออุตสาหกรรมที่เหนือกว่าคู่แข่งและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ประกอบกับทีมงานมากด้วยประสบการณ์ จะดึงดูดผู้เช่าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ (MNCs) ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และภาคธุรกิจที่มีการเติบโตสูงเข้ามาเป็นลูกค้าในอนาคตอันใกล้นี้”
ESR ดำเนินงานตามกรอบ ESG ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ โดยอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย สอดคล้องกับนโยบายระดับกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งให้ความสำคัญในการใช้งานอย่างครอบคลุมและยั่งยืน อาทิ การให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานหมุนเวียน การออกแบบที่ให้ความสำคัญต่อผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยคุณลักษณะเหล่านี้จะได้รับการวางแผนออกแบบตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพัฒนาเสร็จสิ้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการใช้งานของผู้เช่าเป็นสำคัญ
นอกจากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้ง 2 แห่งนี้ กลุ่มบริษัทฯ จะมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในทำเลยุทธศาสตร์แห่งอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านโลจิสติกส์ เช่น บางนา-ตราด, ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และวังน้อย จากนั้นจึงจะขยายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น อาทิ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น