ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เห็นโอกาสต่างชาติลงทุนอสังหาฯ ในไทย

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เห็นโอกาสต่างชาติลงทุนอสังหาฯ ในไทย

นอกจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอันสวยงาม วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และอาหารรสชาติอร่อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยยังมีความโดดเด่นอีกหลาย ๆ ด้านที่ล้วนดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนและอยู่พักอาศัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อค้นดูสถิติจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย (International Organization for Migration (IOM) Mission in Thailand) พบว่า ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านคนในปี 2557 เป็น 4.9 ล้านคนในปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มทุกปี ข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยยอดเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดไทยจากชาวต่างชาติ ที่พุ่งสูงขึ้นหลังการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 63,197 ล้านบาท นอกจากนี้หลังจากที่ รัฐบาลไทยได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ทำให้ชาวต่างชาติที่ผ่านเกณฑ์ข้อกำหนดจะสามารถซื้อและเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ โดยต่างชาติที่มีเงินโอนสูงสุด ได้แก่ ฮ่องกง 12,106 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 11,607 ล้านบาท สิงคโปร์ 7,827 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 5,509 ล้านบาท ไต้หวัน 2,353 ล้านบาท ญี่ปุ่น 1,043 ล้านบาท และจีน 900 ล้านบาท

เซ็นทรัลพัฒนา เปิดโครงการ PHYLL PHUKET คอนโดมิเนียมใจกลางภูเก็ตระดับไฮเอนด์ มูลค่าโครงการ กว่า 1,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มี 5 ปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน และเลือกให้เป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา ดังต่อไปนี้:

ความก้าวหน้าทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล

ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์และการบริการด้านการดูแลรักษาระดับโลก ซึ่งข้อมูลจาก CEOWORLD Magazine 2564 ระบุว่า ประเทศไทยมีระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดเป็นลำดับที่ 13 ของโลกตามหลังประเทศในเอเชียด้วยกันเพียงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เท่านั้น ในขณะเดียวกัน รายงานจาก Medial Tourism Association 2562 เกี่ยวกับค่ารักษาทางการแพทย์ ระบุว่าประเทศไทยมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกที่สุด เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ในการผ่าตัดเฉพาะทาง เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด การทำบายพาสหัวใจ การผ่าตัดมดลูก การทำเลสิค การทำรากฟันเทียม และการปลูกถ่ายเต้านม เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าค่ารักษาโรคต่าง ๆ ในไทยมีราคาถูกกว่าประเทศแถบยุโรปถึง 30% และสหรัฐอเมริกากว่า 70%

นอกจากเรื่องราคาแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ในไทยยังมีคุณภาพสูง เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเฉพาะทางในศาสตร์ต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังโด่งดังด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เพราะประเทศไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนเพื่อรักษาตัวจากอาการป่วยหรือหลังการผ่าตัด เนื่องจากมีการให้บริการอย่างสะดวกสบายและครบครัน โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนในไทยที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนในโรงแรมหรู

พร้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาแบบนานาชาติได้กว่า 80 แห่ง ซึ่งสังคมของโรงเรียนนานาชาติมีทั้งเด็กไทยและบุตรหลานของผู้ปกครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศ โดยโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ตามหลักสูตรแบบ British English 46% American English 28% IB 15% Singapore 6% International 6% และแบบนานาชาติอื่น ๆ 30% ซึ่งถือเป็นหลักสูตรมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ในเรื่องภาษา โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษกว่า 90% ตามด้วยภาษาไทย 8% ภาษาจีน 8% ญี่ปุ่น เยอรมัน และอื่น ๆ 1% ทำให้มั่นใจได้ว่าเด็ก ๆ จะได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาอังกฤษและภาษาที่ 2 3 หรือ 4 ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้เมื่อนักเรียนถึงระดับชั้นที่กำหนดไว้ แต่ละโรงเรียนจะมีการจัดเรียน IGCSE และ A-Level การจัดสอบ SAT/ACT รวมถึงวิชาบังคับตามกลุ่มการศึกษาต่าง ๆ ที่สามารถใช้ยื่นรับรองเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศได้อีกด้วย

อีกปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือค่าเล่าเรียน เมื่ออ้างอิงข้อมูลจาก International School Database 2564 พบว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอัตราเฉลี่ยด้านค่าเล่าเรียนเป็นลำดับที่ 14 ของภูมิภาค เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง ที่มีอัตราค่าเทอมสูงเป็นอันดับ 1 ตามด้วยเซี่ยงไฮ้(2) โซล(5) สิงคโปร์(6) โตเกียว(8) ไทเป(11) เกียวโต-โอซาก้า-โกเบ(13) เป็นต้น โดยราคาเฉลี่ยของโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 485,122 บาท โดยค่าเทอมต่อปีอยู่ระหว่าง 260,000-760,000 บาท ดังนั้นกรุงเทพฯ จึงถือเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการศึกษาของบุตรหลานชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยคุณภาพระดับมาตรฐานสากลในราคาย่อมเยากว่าประเทศอื่นในเอเชีย

อัพเดทสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือวีซ่าระยะยาว

หลังจากที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้วีซ่าแบบใหม่เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเศรษฐกิจในประเทศ Long-term Residence VISA (LTR) จึงได้ถูกประกาศใช้เพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติกลุ่มที่เข้าเกณฑ์สามารถเข้ามาพำนักในไทยได้ ซึ่งได้แก่ 1. Wealthy Global Citizens (บุคคลที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ) 2. Wealthy Pensioners (ผู้เกษียณที่มีอายุ 50 ปี หรือมากกว่า โดยมีเงินบำนาญรายปี หรือ passive income ที่มั่นคง) 3. Work-From-Thailand Professionals (ผู้ที่ทำงานให้บริษัทใหญ่ในต่างประเทศที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้) 4. Highly skilled professionals (ผู้ชำนาญการที่ทำงานให้บริษัท สถาบันการศึกษาขั้นสูง ศูนย์วิจัย สถาบันการอบรมพิเศษในประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย) และ 5. ครอบครัวของผู้ถือวีซ่าข้างต้นจะได้สิทธิประโยชน์แบบเดียวกันกับผู้ถือ โดยวีซ่า LTR รูปแบบใหม่นี้ ชาวต่างชาติจะได้สิทธิ์ในการทำวีซ่าเป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อพำนักในประเทศไทย (การยื่นครั้งแรกจะได้สิทธิ 5 ปี สามารถขยายเวลาต่อได้อีก 5 ปี หากมีคุณสมบัติครบถ้วน) รวมถึงช่วยเอื้อผลประโยชน์ในด้านภาษี 17% สำหรับผู้ชำนาญการ และการยกเว้นภาษีสำหรับรายได้จากต่างประเทศ

ดังนั้นการอนุมัติวีซ่าดังกล่าวจะเพิ่มความสนใจจากกลุ่มบุคคลต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ให้เข้ามาทำงาน อยู่อาศัย และลงทุนซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยรายงานจาก U.S. News & World Report 2565 ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกสำหรับประเทศที่น่าเริ่มต้นธุรกิจ และอันดับที่ 19 ของโลกด้านประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน

คุ้มค่าคุณภาพชีวิต

ข้อมูลจาก International Living 2566 พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพำนักหลังเกษียณเป็นลำดับที่ 9 ของโลก และเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ติดลำดับในรายงานฉบับนี้อีกด้วย ซึ่งตัวกระตุ้นหลักสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาวในต่างแดนคงหนีไม่พ้นปัจจัยเรื่องคุณภาพชีวิตที่คุ้มค่ากับการอยู่อาศัย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออ้างอิงผลสำรวจจาก Holidu บริษัทผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ในปี 2564-65 พบว่า กรุงเทพฯ ครองตำแหน่งสูงสุดในการเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับ ‘workation’ (work + vacation) หรือเมืองที่เหมาะกับการทำงานและท่องเที่ยวที่สุดในโลก เนื่องจากกรุงเทพฯ มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่หลากหลาย ค่าครองชีพที่เอื้อมถึง สิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพสูง คนในเมืองจำนวนมากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ และกรุงเทพฯ ยังมีสำนักงานของบริษัทต่างชาติหลายแห่งในเมืองอีกด้วย

อีกทั้งผลสำรวจ InterNations 2022 ที่ทำการสำรวจชีวิตคนที่ย้ายไปทำงานต่างประเทศ พบว่ากรุงเทพฯ ได้รับคะแนนด้านการเงินและที่พักอาศัยยังสูงเป็นลำดับที่ 4 โดยหากดูจากสถิติของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตามจากเว็บไซต์ Onelifepassport พบว่า ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ถูกกว่าการใช้ชีวิตในนิวยอร์กซิตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึง 5 เท่า หรือสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงใช้จ่ายประมาณ $630 ถึง $2,100 ต่อเดือน ในขณะเดียวกันยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่าง เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต และหมู่เกาะอันงดงามต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในราคาถูกแต่บริการชั้นยอด ดังนั้นกรุงเทพฯ จึงถือเป็นแหล่งรวมของชาวต่างชาติและผู้เกษียณอายุที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

ทำเลทอง

สำหรับชาวต่างชาติแล้วคงไม่มีที่ไหนน่าลงทุนในที่อยู่อาศัยมากกว่าไปว่ากรุงเทพฯ ที่พร้อมด้วยความคุ้มค่าของการอยู่อาศัยใกล้สวนสาธารณะกลางเมือง วิวอันสวยงาม การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกด้าน ซึ่งอาจนำไปสู่มูลค่าการขายต่อที่สูงขึ้น โดยหากเจาะลึกด้านทำเลทองแล้ว นักลงทุนต่างชาติอาจมองเห็นศักยภาพในการสร้างรายได้จากค่าเช่าที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพื้นที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง

รายงานของ Knight Frank พบว่าที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ที่ติดสวนสาธารณะ และมีทิวทัศน์น่าดึงดูดจะเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดความคุ้มค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีวิวสวนสาธารณะหลักของเมือง จะมีราคาโดยเฉลี่ยสูงกว่า เมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในระดับเดียวกันที่ไม่มีวิวสวนถึง 34% โดยที่อยู่อาศัยพร้อมวิวสวนสาธารณะไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากนี้ผลการสำรวจจาก The Urban Land Institute The Case for Open Space ยังพบอีกว่า 85% ของผู้อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ระบุว่าความใกล้ชิดกับสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น พื้นที่เปิดโล่ง เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดอสังหาริมทรัพย์ริมสวนสาธารณะอย่าง Hyde Park ลอนดอน Central Park นิวยอร์ก Hickson Park ซิดนีย์ หรือแม้กระทั่ง The Botanical Garden ที่สิงคโปร์ จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้หากเปรียบให้เห็นภาพมากขึ้นกับกรุงเทพฯ คงหนีไม่พ้นสวนลุมพินี ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อันเปรียบเสมือนปอดของกรุงเทพฯ พร้อมด้วยแหล่งกิจกรรม การท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ และถือเป็นตัวแทนของพื้นที่สีเขียวและความงดงามของเมืองกรุงอย่างแท้จริง

ละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค กล่าวถึงการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ ไทยของต่างชาติว่า “หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ชาวต่างชาติเล็งเห็นถึงข้อดีของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาวมากขึ้น เพราะผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญถึงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีต่อกายและใจให้ตัวเองและครอบครัว ซึ่งกรุงเทพฯ สามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะการที่เรามีระบบสาธารณะที่ครอบคลุม ใกล้ตัว และคุณภาพสูง เช่น สถานพยาบาลและสถานศึกษาที่ล้วนคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการบริการที่ได้รับและเหมาะกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยที่น่าดึงดูดสำหรับชาวต่างชาติ และยังสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยได้อีกด้วย”

โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เมกะโปรเจกต์รูปแบบมิกซ์ยูส พร้อมแล้วที่จะมาเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนพื้นที่หัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 เพื่อตอบสนองความต้องการของการอยู่อาศัยในใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยในส่วนของโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ระดับ 6 ดาว จะพร้อมเปิดให้บริการเป็นเฟสแรกในช่วงกลางปี 2567 และโครงการที่พักอาศัย ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ จะทยอยเริ่มโอนในช่วงปลายปี 2568 เพื่อเป็น “Here for Bangkok” ที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ ทุกคน

Scroll to Top