แสนสิริ (Sansiri) เผยแผนปี 2566 เดินหน้าเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท พร้อมเผย 3 กลยุทธ์ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ครองเบอร์ 1 ตลาดต่างประเทศ และ เดินหน้าเป้าหมาย Net Zero มั่นใจทำกำไร All Time High
สำหรับปี 65 ที่ผ่านมา แสนสิริมียอดพรีเซล 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากปี 64 แบ่งเป็นคอนโด 16,000 ล้าน และแนวราบ 34,000 ล้าน ส่วนยอดโอนทั้งหมดอยู่ที่ 36,800 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบถึง 60% และ คอนโดมิเนียม 40%
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านเป็นปีที่ดีมากของแสนสิริ เราปิดได้ถึง 18 โครงการ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท รวมถึงได้เปิดคอนโดมิเนียม และแนวราบโครงการใหม่ ซึ่งปัจจุบันแสนสิริยังคงเป็นเบอร์ 1 ของโครงการบ้านลักชัวรี”
–เปิดแล้ว GO! Hotel Bowin เจาะตลาดเซ็กเมนต์ ‘Bleisure’ ตอบรับทั้ง Business + Leisure
สำหรับทิศทางปีนี้ แสนสิริเตรียมเปิดตัวเพิ่มอีก 52 โครงการ มูลค่า 75,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ โดยคาดว่าจะมีรายได้รวม 40,000 ล้าน เชื่อว่าจะทำกำไร All Time High ได้ต่อเนื่องในปี 2566 นี้
ด้าน อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ (SIRI) กล่าวว่า แสนสิริจะโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้ 3 กุญแจสำคัญขับเคลื่อนองค์กร ดังนี้
สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 66 นี้ตั้งเป้าขยายโครงการมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 49% ซึ่งมาจากนโยบาย Speed to Market ผลักดันไปทุก Segment เริ่มตั้งแต่ราคา 9 แสน ไปถึงระดับร้อยล้าน สำหรับในปีนี้จะเปิดตัวกลุ่มแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 50,700 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 52% แบ่งเป็นโครงการ
- นาราสิริ พหล -วัชรพล
- บูก้าน 3 โครงการ ที่ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ และ พระราม 9 – เหม่งจ๋าย
- เศรษฐสิริ ดอนเมือง
- สราญสิริ 4 โครงการ
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ได้แก่ No.19, Sirinsiri, Narinsiri และ Ombre ด้านคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ได้แก่ Hub และ Cabanas ส่วนอีก 3 แบรนด์จะเปิดเผยในอนาคต
สำหรับคอนโดมิเนียม 22 โครงการ มูลค่า 24300 ล้าน โตขึ้นจากปีก่อน 151% ในปีนี้จะรุกตลากลักชัวรีใจกลางเมืองอย่าง อารีย์ และ ราชเทวี
พร้อมรุกตลาดต่างจังหวัดอีก 6 จังหวัด ได้แก่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ขอนแก่น และ ชลบุรี โดยในปีนี้จะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท
“ซึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มบ้านในราคา 10 ล้าน ไม่ได้รับผลกระทบกับเศรษฐกิจ ทำให้เชื่อว่าจะยังเติบโตต่อไปได้ในปีนี้” อุทัย กล่าวเสริม
ครองเบอร์ 1 ตลาดต่างประเทศ
เน้นการทำตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเอเชีย CLMV ที่มีความสนใจคอนโดมิเนียมในราคา 2-5 ล้านบาท และยังมี จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ รัสเซีย ตั้งเป้ายอดขายที่ 12,000 ล้านบาท
เดินหน้าเป้าหมาย Net Zero
เน้นการพัฒนาบ้านแบบ Low Energy ให้ที่อยู่อาศัยใช้พลังงานต่อที่สุด เดินหน้าต่อในเรื่อง Solar Panel ตั้งแต่ติดตั้ง 2600 หลังถายในปี 2567 (1100 หลังในปี 66) ส่วน EV Charger จะติดตั้งให้ได้ 650 หลังในปีนี้ และ 750 หลังในปีถัดไป
“สำหรับปัจจัยที่ต้องระวังในปีนี้ จะมีเรื่องสงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอื่นๆ ตามมาหรือไม่ และดอกการปรับดอกเบี้ยของ FED ที่จะต้องคอบจับตา ส่วนเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นจะกระทบกับลูกค้า ทั้งนี้เชื่อว่าเงินเฟ้อจะเริ่มอยู้ในระดับที่ควบคุมได้” อุทัย กล่าวสรุป