ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ แห่ง J Ventures กับบทบาทผู้สร้างพื้นฐานใหม่ให้ Jaymart

จากประสบการณ์ 20 ปีในตำแหน่งที่ปรึกษาการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในยุค 3.0 หรือยุค Automation ที่ต้องหาวิธีทำธุรกิจด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด แต่เมื่อเข้าสู่ยุค 4.0 ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เป็นยุคของ Customer Centric หรือยุคที่มีลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง

“ธุรกิจต้องคิดใหม่หมด แต่เราสามารถใช้สกิลเดิมเข้ามาบริหารได้ คนมักจะคิดว่าเราเห็นเป้าหมายและเดินไปข้างหน้า จริงๆ แล้วไม่เห็นนะ แต่เรารู้กระบวนการของการวิวัฒนาการและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ” ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ (ทาโร่) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด

ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า ยุค 4.0 เป็นยุคที่เมื่อธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการขึ้นมา จะไม่รู้ว่ามันสมบูรณ์หรือยัง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้มันสมบูรณ์ แต่การทำงานอยู่กับมันและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ นำข้อเสนอแนะระหว่างทางมาปรับปรุง นำมาพัฒนา ก็จะช่วยให้ผลิตภัฑณ์หรือบริการมันพัฒนาไปได้เรื่อยๆ

เมื่อถามว่าไม่เห็นเป้าหมายข้างหน้าแล้วตัดสินใจอย่างไร ธนวัฒน์ ตอบในประเด็นนี้ว่า “เราใช้ความรู้สึกและเหตุผลเท่าที่มี และคิดว่ามันใช่ ย้อนกลับไปที่วันที่ออก ICO (Initial Coin Offering) เรารู้ได้อย่างไรว่ามันใช่ ต้องยอมรับว่าไม่รู้ แต่เรามีกรอบในการตัดสินใจว่าการทรานส์ฟอร์มบริษัทมันต้องมีเทคโนโลยี 5 ตัว คือ AI , Big Data , Credit Scoring , DLT หรือ Blockchain และ E-Payment ที่จะเข้ามาเปลี่ยนธุรกิจ”

–More Meat นวัตกรรมอาหารฝีมือคนไทย เดินหน้าส่ง Plant-based Meat สู่ตลาดโลก
–คุยกับ นาว – ภาดารี แห่ง Lightwork กับการพัฒนา RPA ตอบโจทย์ธุรกิจไทย และเป้าหมายขยายตลาดสู่ระดับโลก

“เพราะฉะนั้นวันที่ ICO มันเกิด และเป็นวิธีการระดมทุนบนบล็อกเชน ถ้าบริษัทมัวแต่รอว่าใครจะมาซื้อเหรียญเรา วันนั้นก็คงจะไม่ได้ออกเหรียญ JFIN แต่ด้วยความเชื่อว่าบล็อกเชนมันน่าจะใช่ และอยากจะพิสูจน์ทฤษฎีของบล็อกเชน จึงลองทำ ซึ่งถ้าวันนั้นทำแล้วมันผิด เราก็แค่นำข้อมเสนอแนะมาแก้ไขและพัฒนาต่อไปจนกว่ามันจะสำเร็จ”

ปรับวัฒนธรรมองค์กร ส่วนสำคัญการทรานส์ฟอร์มองค์กร

ธนวัฒน์ กล่าวว่า คนมักจะคิดว่าใช้เทคโนโลยีจะทำให้บริษัทสามารถทรานส์ฟอร์มได้ แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้เพียงเศษเสี้ยวของการทรานส์ฟอร์ม สิ่งสำคัญคือ การปรับกระบวนการความคิดของคน (Mindset) ปรับวัฒนาธรรมองค์กร และเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น เจ เวนเจอร์ส เลือกใช้วิธีการทำงานแบบ Agile ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องเข้ามารวมกันถึงจะสามารถทรานส์ฟอร์มองค์กรได้

“เจมาร์ทโชคดีที่ คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ มาร์ท) ได้ทรานส์ฟอร์มตัวเองจากบริษัทที่ขายโทรศัพท์เป็น Holding Company หรือเป็นบริษัทแม่ที่คอยเกื้อหนุนลูก ทำให้มีบริษัทลูกเกิดขึ้นมาทำหลายๆ อย่าง และทำให้องค์กรสามารถทรานส์ฟอร์มได้เร็วขึ้น”

ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า การที่บริษัทเจมาร์ท เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ที่มูลค่า 540 ล้านบาท วันนี้มูลค่า 230,000 ล้าน ไม่ได้หมายความว่าบริษัทใช้บล็อกเชนทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่ใช้บล็อกเชนมาเร่งสปีดการเติบโต ซึ่งเป็นอนาคตของบริษัท และการที่บริษัทได้ ICO หมายความว่าเงินที่นำไปสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับเจมาร์ท ไม่ได้เป็นภาระกับบริษัท และยังมีกลไก JFIN Chain ทำให้สามารถหาเงินด้วยตัวเองได้

“สิ่งที่ เจ เวนเจอร์ส กำลังทำเรียกว่าเป็น Fundamental หรือพื้นฐานให้กับองค์กร ที่เรียกว่าแพลตฟอร์ม เพื่อให้บริษัทสามารถอยู่ต่อไปได้อีกเป็น 100 ปี”

เดินหน้าสร้างความการใช้เหรียญต่อเนื่อง

วันนี้ เจ เวนเจอร์ส เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่สร้าง Chain, Wallet และ Coin ให้ธุรกิจในเครือเจมาร์ทนำไปใช้ ซึ่งการที่โครงสร้างพื้นฐานเพียบพร้อม เหรียญที่ถูกนำไปใช้ก็จะเกิดการเติบโตมากขึ้น และเหรียญที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในประเทศไทยก็จะขึ้นเป็นเบอร์ 1

ธนวัฒน์ กล่าวว่า ถ้าถามว่ากลไกของมันคืออะไร เหรียญทุกเหรียญที่คนชอบเพราะ Supply มันจำกัด ถ้าความต้องการมีมากขึ้น เหรียญก็จะราคาสูงขึ้น เจ เวนเจอร์ส มีหน้าที่สร้างความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ อีกส่วนหนึ่งคือการสร้าง Velocity หรือการหมุนของเหรียญ จะต้องหาช่องทางให้คนนำเหรียญมาแลกรับเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ

“ความกังวลใจอย่างเดียวของเราคือ ทุกวันมันจะมีของใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เราจะต้องสร้างฐานให้ราคาเหรียญมันไปต่อได้ จะต้องสร้างกลไกจนเหรียญมาสามารถวิ่งได้ด้วยตัวเอง และสามารถคาดการณ์พื้นฐานได้” ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ กล่าว

มีโอกาสร่วมกับ KUB แต่เป้าหมายหลักคือเพื่อเจมาร์ท

ถ้ามองทิศทางธุรกิจของ เจ เวนเจอร์ส กับ บิทคับ (Bitkub) นั้นมีทิศทางคล้ายกัน แต่การสเกลแตกต่างกัน Bitkub เน้นไปที่การเข้าถึงคนทั่วไป เป็น Mass ขณะที่ เจ เวนเจอร์ส เน้นไปที่การใช้งานขององค์กร

ธนวัฒน์ กล่าวว่า ทุกคนที่พัฒนาแพลตฟอร์มพยายามจะเป็นเบอร์ 1 ซึ่ง Winner takes all อย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องไม่มีเบอร์ 2 ด้วย แต่วันนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเบอร์ 1 หรือเบอร์ 2 ทุกคนต่างสเกลไปในทิศทางของตัวเอง พยายามมี Use case ใหม่ๆ แต่ KUB และ JFIN เป็น 2 เหรียญที่มีฐานรองรับ ส่วนตัวมองว่าเหรียญอื่นจะสร้างมาให้ได้ระดับนี้คงไม่ง่าย เพราะฉะนั้นโอกาสเป็นเหรียญเบอร์หนึ่งในประเทศจะมีแค่ 2 เหรียญ

“ในอนาคตเราเชื่อว่าหากเราต่างคนต่างใหญ่ ก็มีโอกาสมาจับมือกันได้ ทำให้เหรียญ JFIN หรือ KUB มีความแข็งแกร่ง สามารถไปแข่งขันในต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นความฝันของเรา”

ธนวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า วันนี้มันยังไม่ชัดว่าใครเป็นเบอร์ 1 ซึ่ง เจ เวนเจอร์ส ไม่ได้มองว่าจะเข้ามายึดครองประเทศโดยเป็นที่ 1 แต่ภารกิจคือจะทำอย่างไรให้เจมาร์ทสามารถทรานส์ฟอร์มตัวเองได้ มีเป้าว่ามูลค่าตลาดจะต้องสูงถึง 3 แสนล้านในปีนี้ 4 แสนล้านในปีหน้า และในปี 2024 จะต้องสูงถึง 5 แสนล้าน โตแบบก้าวกระโดดทุกปี หมายความว่ากำไรของเจมาร์ทจะต้องมากขึ้นปีละ 2 พันล้าน ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ก็จะต้องมีนวัตกรรมที่เป็นอนาคตเข้ามาเสริม ซึ่ง เจ เวนเจอร์ส เป็นผู้ทำสิ่งนั้น

• Facebook
• X
• Line