ภัยไซเบอร์ทุบสถิติ “พลสุธี” แนะเทคนิครู้ทันกลโกง รับมือภัยร้ายยุคดิจิทัล

ภัยไซเบอร์ทุบสถิติ "พลสุธี" แนะเทคนิครู้ทันกลโกง รับมือภัยร้ายยุคดิจิทัล

สถิติคดีออนไลน์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (1 มี.ค. 65 – 31 ม.ค. 68) ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่น่าตกใจ โดยพบว่ามีคดีออนไลน์เกิดขึ้นมากกว่า 800,000 คดี สร้างความเสียหายมหาศาลกว่า 81,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหายถึง 76 ล้านบาทต่อวัน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือในปี 2568 ซึ่งผ่านไปเพียงไม่ถึง 2 เดือน กลับมีคดีออนไลน์เกิดขึ้นแล้วกว่า 50,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 4 พันล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหายต่อวันสูงถึง 100 ล้านบาท

การหลอกลงทุน การหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน และการข่มขู่ทางโทรศัพท์หรือคอลเซ็นเตอร์ เป็นรูปแบบการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับแรก แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินนโยบายระงับบัญชีม้ามาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 67 ที่ผ่านมา โดยมีการระงับบัญชีไปแล้วกว่า 1.75 ล้านบัญชี และขึ้นบัญชีม้าไปแล้ว 134,000 รายชื่อ แต่ก็ยังมีการหลอกลวงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากการวิเคราะห์ขั้นตอนการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี พบว่าเหล่ามิจฉาชีพใช้กลโกงหลักๆ 6 ขั้นตอนด้วยกัน เริ่มจากการเตรียมเครื่องมือทางบัญชี เช่น บัญชีเงินฝาก บัญชีอิเล็กทรอนิกส์ และบัญชีคริปโทฯ ตามด้วยการจัดหาอุปกรณ์สื่อสาร เช่น ซิมม้าและโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะทำการปลอมแปลงหรือสวมรอยโดยสร้างเว็บไซต์ปลอมและใช้แอปฯ ดูดเงิน เพื่อติดต่อกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์, SMS, อีเมล หรือจดหมาย เมื่อเหยื่อถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีม้าหรือติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน สุดท้ายมิจฉาชีพจะนำเงินไปฟอกนอกระบบ

ชี้ 5 มาตรการรับมือภัยไซเบอร์

พลสุธี ธเนศนิรัตศัย ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด กล่าวว่า การหลอกลวงทางไซเบอร์ มิจฉาชีพยังเลือกยังใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน แต่คนยังเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการถูกหลอกลวง เพราะฉะนั้นการศึกษาข้อมูลเพื่อป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกฎหมายอาจช่วยไม่ทัน

นอกจากนี้ พลสุธี ยังได้ให้มุมมองต่อมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไว้ 5 ประการ

  1. เริ่มจากการเพิ่มขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมยกระดับมาตรการยืนยันตัวตนผู้ถือบัญชี
  2. ต่อมาคือการสนับสนุนการเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีและธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
  3. ควรเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด รวมถึงผู้ที่ซื้อขายบัญชีม้า และผู้ที่นำข้อมูลบุคคล/นิติบุคคลไปใช้ในการกระทำความผิด
  4. การกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรฐานในการตรวจจับและระงับเหตุต้องสงสัยอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งสร้างช่องทางให้ผู้เสียหายแจ้งเหตุและระงับธุรกรรมได้ด้วยตนเอง
  5. สุดท้ายคือการกำหนดให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ร่วมกันรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี หากสถาบันการเงินและผู้ให้บริการโทรคมนาคมปฏิบัติตามหน้าที่ตามข้อกำหนด ผู้ถือบัญชีก็จะต้องรับผิดต่อความเสียหายเอง

และเพื่อป้องกันตนเองจากภัยไซเบอร์ พลสุธี ย้ำว่า ควรติดตามข่าวสารจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น ตำรวจไซเบอร์ บช. สอท. รวมถึงหลีกเลี่ยงการพาตนเองเข้าสู่อันตราย เช่น เว็บไซต์ผิดกฎหมาย การใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็น

“ควร “เอ๊ะ” ไว้ก่อน และตั้งข้อสงสัยทุกครั้งเมื่อได้รับการติดต่อจากหน่วยงานราชการ สถาบันการเงิน หรือบริษัทต่างๆ ผ่านโทรศัพท์หรือ LINE” พลสุธี เน้นย้ำ

พลสุธี แนะนำว่า ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจด้านภัยไซเบอร์ ควรให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุและเด็กในครอบครัวเกี่ยวกับภัยไซเบอร์เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวง

Scroll to Top