Fortinet (ฟอร์ติเน็ต) ประกาศขยายจุดให้บริการ SASE Points-of-Presence (POPs) ไปสู่โลเคชันใหม่ๆ ผ่านการเป็นพันธมิตรร่วมกับทาง Google Cloud โดยความร่วมมือนี้ช่วยให้ฟอร์ติเน็ตสามารถใช้ประโยชน์จากโลเคชันที่เป็นเครือข่ายระบบเอดจ์ของ Google Cloud ที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อเร่งการขยายโซลูชัน Universal SASE ของฟอร์ติเน็ตให้เร็วยิ่งขึ้น
SASE จากผู้ให้บริการเพียงรายเดียว (Single-Vendor SASE) ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรธุรกิจนำมาปรับใช้เพื่อเชื่อมโยงพนักงานที่ทำงานในรูปแบบไฮบริดให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ เครือข่ายของ SASE POPs ที่เสถียรและแข็งแกร่ง มีความสามารถในการรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสามารถรองรับการทำงานได้จากทั่วโลกคือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือชั้นไปพร้อมกับการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งให้กับผู้ใช้
“ด้วยการใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Google Cloud ทำให้ Fortinet Universal SASE มีศักยภาพและความพร้อมมากยิ่งขึ้นในการให้บริการลูกค้าที่อยู่กระจายอยู่ทั่วโลกได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะสามารถเชื่อมต่อและให้การปกป้องคนทำงานที่ทำงานในรูปแบบของไฮบริดให้เข้าสู่แอปพลิเคชันที่สำคัญได้อย่างราบรื่น” ไมเคิล ซี ผู้ก่อตั้ง ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ฟอร์ติเน็ต กล่าว “ความร่วมมือนี้จะช่วยขยายทรัพยากร POP ทั่วโลกของเรา และยังช่วยเร่งการนำโซลูชัน Universal SASE ของฟอร์ติเน็ตไปใช้ในกลุ่มลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และเนื่องจากโซลูชัน SD-WAN ของเราถูกบูรณาการรวมอยู่ในการให้บริการ SASE เรียบร้อยแล้ว ลูกค้า SD-WAN ทั่วโลกของฟอร์ติเน็ตจึงมีความสามารถที่กว้างขวางยิ่งกว่าเดิมในการนำเอาระบบบูรณาการด้านการรักษาความปลอดภัยที่ส่งผ่านบนคลาวด์ (Cloud-delivered) มาใช้เพื่อนำโซลูชัน Universal SASE ที่สมบูรณ์พร้อมมาใช้”
“องค์กรธุรกิจทั่วโลกต่างพึ่งพา Google Cloud เพื่อการเชื่อมต่อเครือข่ายและการเข้าถึงที่มีความสำคัญ” มูนินเดอร์ แซมบี รองประธานและผู้จัดการทั่วไปด้านเน็ตเวิร์กกิ้งของ Google Cloud กล่าว “การขยายความร่วมมือกับฟอร์ติเน็ตจะช่วยให้สามารถให้บริการที่มีระดับคุณภาพสูงให้กับลูกค้าที่ต้องการให้การสนับสนุนทีมทำงานแบบไฮบริดด้วยโซลูชัน SASE ของฟอร์ติเน็ตไปพร้อมกับประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ Cross-Cloud Network ของ Google Cloud ซึ่งรวมถึงต้นทุนที่ลดต่ำลงและประสบการณ์การใช้แอปพลิเคชันที่ดีขึ้น”
ผสานระบบเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยด้วย Fortinet Universal SASE
โซลูชัน Universal SASE ของฟอร์ติเน็ต ผสานรวมระบบเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยเข้าด้วยกันด้วยคุณลักษณ์พิเศษเพื่อสนับสนุนคนทำงานในรูปแบบไฮบริดในปัจจุบัน ไปกับการขยายเครือข่ายระบบเอดจ์ รวมถึงการเพิ่มจำนวนของสาขาย่อยที่เกิดใหม่ (Microbranches) เพื่อให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ในระดับสูงผ่านการผสานรวมและการพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ดิจิทัลที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ โซลูชันของฟอร์ติเน็ต รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ขยายขอบเขตไปมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีและการบริการที่สำคัญต่างๆ ที่ช่วยให้องค์กรนำเอาการรักษาความปลอดภัยแบบ Zero Trust มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้และตรวจสอบนโยบายตามบริบทโดยไม่คำนึงว่าผู้ใช้กำลังใช้งานทรัพยากรใดก็ตาม โดย Fortinet Universal SASE ให้เครือข่ายคลาวด์ที่ทั้งมีประสิทธิภาพสูงและมีความสามารถในการรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI ที่ดีที่สุด (Best-in-Class) พร้อมการจัดการแบบรวมศูนย์ (Unified Management) และการตรวจสอบประสบการณ์การการใช้ดิจิทัลแบบครบวงจรเพื่อให้มั่นใจถึงการเข้าสู่เว็บ เข้าถึงองค์กร และแอปพลิเคชัน SaaS ด้วยความปลอดภัย
ฟอร์ติเน็ตคือผู้บุกเบิกและเป็นผู้นําด้าน SD-WAN ที่ปลอดภัย อันเป็นรากฐานของโซลูชัน Universal SASE โดย Universal SASE ใช้ระบบปฏิบัติการ FortiOS และบริการด้านความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI เช่นเดียวกับโซลูชัน SD-WAN ที่ปลอดภัยและโซลูชันบริการการรักษาความปลอดภัยผ่านระบบคลาวด์ (SSE) ด้วยรูปแบบของการบูรณาการทั้งหมดนี้ช่วยขยายโซลูชัน Secure Web Gateway (SWG) Zero-Trust Network Access (ZTNA) ตลอดจน Cloud Access Security Broker (CASB) และ Firewall-as-a-Service (FWaaS) ไปยังโซลูชัน Universal SASE ที่ช่วยให้การเชื่อมเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด พร้อมด้วยการป้องกันภัยคุกคามแบบครบวงจรจากปลายทางถึงปลายทางอย่างสอดคล้อง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหมาะสมดีที่สุด