iPhone 16 Pro กับ 4 เหตุผล ทำไมถึงน่าใช้ที่สุดใน 4 รุ่น

iPhone 16 Pro กับ 4 เหตุผล ทำไมถึงน่าใช้ที่สุดใน 4 รุ่น

จะเลือกซื้อ iPhone 16 ตัวธรรมดา จะ Plus จะ Pro หรือ Pro Max ดี เชื่อว่าคนที่ใช้อยู่แล้วก็คงจะมีคำตอบในใจว่าจะไปต่อกับรุ่นไหนต่อ แต่กับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อรุ่นไหนตอนนี้ เพราะนานๆ เปลี่ยนที หรือกำลังย้ายค่ายมาใช้ไอโฟน คงจะต้องคิดหลายตลบ และเปรียบเทียบแต่ละรุ่นอยู่พอสมควร

ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเปิด 4 ข้อดีของ iPhone 16 Pro เป็นอีกหนึ่งความคิดเห็นตัวช่วยคุณตัดสินใจ หากใครที่กำลังมองหาไอโฟน และคิดว่าจะซื้อแน่ๆ ลองมาดูกันครับว่าสิ่งเหล่านี้มันตรงใจคุณหรือไม่ ถ้าหากไม่ ก็จะได้ตัดตัวเลือกนี้ไปได้เลย

หน้าจอใหญ่ขึ้น 0.2 นิ้ว เหมือนจะไม่มีผล แต่มีผล

หนึ่งในจุดอ่อนที่หลายๆปีที่ผ่านมารุ่น “Pro” ค่อนข้างอยู่นอกสายตาของคนที่กำลังเลือกซื้อไอโฟนใหม่ ปัจจัยหลักเลยคือหน้าจอ 6.1 นิ้ว ของมันดูเล็กเกินไป และหากมองขึ้นไปในรุ่นท็อปสุดที่หน้าจอใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว พอเอามาเทียบกันแล้วมันต่างกันค่อนข้างมาก การดูคอนเทนต์วิดีโอก็เต็มตากว่า เล่นโซเชียลก็อ่านได้ชัดเจนกว่า

บางคนหากำลังมองหาไอโฟนที่จอเล็กก็มักจะเลือกตัวเริ่มต้นไปเลย เพราะราคาถูกกว่ามาก หากจะเพิ่มเงินเพื่อได้ไปเจอที่ดีขึ้น ก็มักจะไปจบที่ตัว Pro Max กันมากกว่า

การปรับหน้าจอของ Apple ในตัว Pro ครั้งนี้เป็น 6.3 นิ้ว ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับ 6.9 นิ้วของตัว Pro Max อัตราส่วนจะยังต่างกันเท่าเดิม แต่หากมาเทียบกับ 6.7 นิ้ว ของ Pro Max ในรุ่นก่อนๆ กลายเป็นว่ามันใหญ่กว่ากันไม่มากเท่าไหร่แล้ว

ซึ่งการเพิ่มมา 0.2 นิ้ว บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันก็นิดเดียวเอง แต่หากลองดูดีๆ จะพบว่ามันได้พื้นที่ทั้งด้านกว้างและด้านยาวมาอย่างและ 0.2 นิ้ว ทำให้จอของมันดูแสดงผลคอนเทนต์ได้ชัดเจนขึ้นในระดับนึงเลย

หากอยากจะเห็นชัดๆ ก็คงแนะนำว่าให้ไปที่หน้าร้าน แล้วหยิบไอโฟน 16 มาวางทาบกับรุ่น Pro และลองเปิดคอนเทนต์เดียวกันดูเพื่อเปรียบเทียบได้เลยครับ

ตอบโจทย์คนมือเล็ก ชอบพิมพ์ด้วยมือเดียว

ข้อต่อมาอาจจะเป็นความชื่นชอบส่วนตัวของผม คือเป็นคนชอบเล่นมือถือด้วยมือเดียว ซึ่งหากใช้เครื่องที่ใหญ่เกินไปก็จะมีปัญหาเวลาพิมพ์ว่าไม่สามารถยื่นนิ้วไปจนสุดอีกฝั่งหนึ่งได้ ด้วยความที่เป็นคนนิ้วไม่ยาว และฝ่ามือไม่ได้ใหญ่มาก

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า หน้าจอมันใหญ่ขึ้น 0.2 นิ้ว หลายคนอาจจะคิดว่าตัวเครื่องก็ขยายขึ้น 0.2 นิ้วเช่นกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะหากเทียบความกว้างของตัวเครื่องนั้น มันกว้างน้อยกว่าไอโฟน 16 ที่ 0.1 มิลลิเมตร เพราะวิธีขยายหน้าจอนั้นเขาใช้วิธีลดขอบจากด้านในแทนที่จะขยายตัวเครื่องออกมาให้มันใหญ่ขึ้น 

ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 199 กรัม ถึงแม้จะหนักกว่ารุ่นก่อนหน้า (15 Pro) ที่ 12 กรัม แต่โดยรวมถือว่าทำน้ำหนักได้ดี เพราะต้องอย่าลืมว่านอกจากหน้าจอใหญ่ขึ้นแล้วแบตเตอรี่ก็ยังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย (ประมาณ 300 mAh) เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยรวมแล้วถือมือเดียวได้ ไม่รู้สึกว่ามันหนักจนเกินไป 

กล้องเท่า Pro Max แล้ว ในที่สุด

หนึ่งในความรู้สึกของการเป็นลูกเมียน้อยในรุ่น Pro คือการที่มันซูมได้แค่ 3X มาตลอด ขณะที่ Pro Max ซูมได้ 5X ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ก็ตั้งคำถามว่าทำไม 2 รุ่นนี้ ไม่ได้สเปคกล้องที่เหมือนกันซะที

จนในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจให้รุ่น Pro ซูมได้ 5X เท่ากับ Pro Max แล้ว ทำให้คนที่อยากจะได้เครื่องที่กะทัดรัดจับถนัดมือแบบ Pro แต่อยากได้กล้องที่ซูมได้ไกลเท่า Pro Max มีทางเลือกเป็นครั้งแรก

ราคาอยู่ในจุดที่น่าคบหา

ปัจจัยสุดท่ายก็คงจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจากเรื่องราคา เพราะหากเทียบราคา กับ 16 Plus และ Pro Max ผมยังเชื่อว่ารุ่น Pro มีราคาอยู่ในจุดที่น่าคบหา

สำหรับรุ่น Pro นั้นเริ่มต้นที่ 39,900 บาท ในรุ่นความจุ 128GB หากเทียบกับ 16 Plus เริ่มต้นที่ 34,900 ในรุ่นความจุ 128GB ถึงจะแพงกว่า 5,000 บาท และจอเล็กกว่า 0.4 นิ้ว แต่ในส่วนที่เด่นชัดกว่า คือได้เลนส์มากกว่า 1 ตัว ถ่ายถ่ายได้หลายระยะกว่า และยังได้ Chipset Apple A18 Pro ที่แรงกว่าอย่างชัดเจน

หากนำไปเทียบกับ Pro Max ในรุ่นความจุ 256GB ที่ 48,900 บาท จะเห็นกว่ารุ่น Pro ในรุ่นความจุ 256GB นั้นถูกกว่า 5,000 บาท โดยจุดเสียเปรียบมีแค่อย่างเดียวคือ หน้าจอเล็กกว่า 0.6 นิ้ว

แต่ในทางกลับกับ รุ่น Pro นั้นมีทางเลือกที่ความจุ 128GB ในราคา 39,900 บาท ซึ่งมีส่วนต่างกับรุ่น Pro Max ถึง 9,000 บาท และยังได้สเปคเท่ากันหมดทุกอย่าง ตอบโจทย์บางคนที่อาจจะไม่ต้องการ Storage ในเครื่องมากๆ เพราะใช้ Cloud เก็บข้อมูลอยู่แล้ว

เป็นยังไงบ้างครับ กับ 4 เหตุผลของ iPhone 16 Pro ทำไมถึงน่าใช้กว่าทุกรุ่น ตรงใจกับคุณที่กำลังจะกดซื้อเครื่องอยู่มั้ยครับ

เทียบชัดๆ Xiaomi 14T Pro ชน vivo V40 Pro และ Samsung Galaxy S24FE ถ้ามีงบ 2 หมื่นกลาง เลือกใครดี

Scroll to Top