เอ็นทีที ดาต้า (NTT DATA) ประกาศขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Google Cloud เพื่อเร่งกระจายการปรับใช้โซลูชันการวิเคราะห์ข้อมูลบนคลาวด์ และระบบปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์หรือ GenAI ให้เกิดการใช้งานในองค์กรต่างๆ ทั่วตลาดหลักของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งช่วยให้ทุกธุรกิจสามารถผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรม ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความคล่องตัว ด้วยการรวมความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ของ NTT DATA เข้ากับความสามารถของการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ระบบ AI และคลาวด์ของ Google Cloud การสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกันจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือนี้ โดยทั้ง NTT DATA และ Google Cloud ได้วางเป้าหมายในการพัฒนาโซลูชันด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์บนคลาวด์ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ บริการทางการเงิน ประกันภัย การผลิต การค้าปลีก และภาครัฐ ผ่านการใช้พิมพ์เขียวอุตสาหกรรม แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และโซลูชันคลาวด์ที่มีอยู่แล้วของ NTT DATA บน Google Cloud
ทั้ง 2 พันธมิตรจะร่วมจัดตั้งหน่วยธุรกิจ NTT DATA Google Cloud Business Unit ขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อส่งมอบโซลูชันร่วมกันพัฒนาโดยเน้นที่การวิเคราะห์ข้อมูลและ GenAI นอกจากนี้ หน่วยธุรกิจดังกล่าวจะให้การสนับสนุนที่กว้างขึ้นสำหรับแอปพลิเคชัน โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และระบบ SAP บน Google Cloud Platform (GCP) ขณะเดียวกัน ความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญของ NTT DATA ในเทคโนโลยี Google Cloud ผ่านการเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองขั้นสูง โดย NTT DATA มีแผนว่าจ้างและเพิ่มทักษะให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย การขายก่อน และการจัดส่ง เพื่อให้แน่ใจว่าการนำโซลูชันไปใช้จะประสบความสำเร็จ โดยปัจจุบัน NTT DATA มีวิศวกรที่ได้รับการรับรองจาก Google จำนวน 2,600 คนใน 50 ประเทศ และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนการรับรองอีกอย่างน้อย 1,000 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ตามรายงานของ Gartner การใช้จ่ายของผู้ใช้ปลายทาง (end-user) ทั่วโลกสำหรับบริการคลาวด์สาธารณะคาดว่าจะสูงถึง 6.79 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 ก่อนจะขยายไปเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2027 ผลจากธุรกิจต่างๆ เริ่มนำโซลูชัน GenAI มาใช้มากขึ้น ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ทันสมัยจึงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวะนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะรวมถึงแผนการขยายความร่วมมือในระดับโลก
จอห์น ลอมบาร์ด (John Lombard) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTT DATA ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ผสมผสานความเชี่ยวชาญของ NTT DATA ในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดหลากหลายทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเรา เข้ากับโซลูชันชั้นนำของอุตสาหกรรมจาก Google Cloud ทั้งนวัตกรรมคลาวด์และ AI ความร่วมมือนี้ไม่ได้มุ่งนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งานเท่านั้น แต่ยังเป็นการพลิกมุมมองถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ สำหรับธุรกิจต่างๆ ในยุคของ AI อีกด้วย ระบบนิเวศพันธมิตรของเราถือเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์การเติบโต คาดว่าความร่วมมือกับ Google Cloud นี้จะทำให้ธุรกิจคลาวด์ของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเติบโตขึ้นมากกว่า 10 เท่าใน 3 ปี”
การัน บาจวา (Karan Bajwa) รองประธาน Google Cloud ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้ความเห็นว่า “ความมั่นใจของลูกค้ามีความสำคัญสูงสุดต่อการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมของ NTT DATA และความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นช่วยเสริมความเป็นผู้นำด้าน AI ของ Google Cloud ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้ความร่วมมือนี้ เราไม่ได้แค่ให้บริการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เรายังสร้างความไว้วางใจและส่งมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ให้กับลูกค้าได้ตลอดเส้นทางการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน”
ชาร์ลี ลี (Charlie Li) รองประธานบริหารอาวุโส หัวหน้าฝ่ายบริการคลาวด์และความปลอดภัยระดับโลกของ NTT DATA กล่าวเสริมว่า “การขยายความร่วมมือกับ Google Cloud นั้นช่วยนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายเฉพาะที่ลูกค้าของเรากำลังเผชิญได้ ด้วยการผสานรวมความสามารถในการเปลี่ยนแปลงแบบเต็มรูปแบบของ NTT DATA เข้ากับเทคโนโลยีรุ่นถัดไปของ Google Cloud เราจึงอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ที่จะเร่งความพยายามในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบคลาวด์, GenAI และความปลอดภัยทางไซเบอร์”
ทั้งนี้ ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแกร่งนั้นมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับการใช้งาน AI เชิงสร้างสรรค์ (generative AI) ให้ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก AI ต้องอาศัยข้อมูลคุณภาพสูงอย่างมากในการฝึกอบรมและตกผลึกข้อมูลเชิงลึก สำหรับการใช้เทคโนโลยีของ NTT DATA และการวิเคราะห์ข้อมูลของ Google Cloud การสำรวจพบว่าทำให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่สามารถรองรับงานสอบถามข้อมูลทางระบบดิจิทัลได้มากขึ้น 22% และยังเพิ่มอัตราการใช้งานได้ 85% โดยใช้ข้อมูลจากระบบ API ที่ปรับแต่งเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ