จากรายงานข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้งานการ์มินชาวเอเชียในปี 2564 พบว่า คนไทยมีอัตราการเผาผลาญขณะพัก (Resting Calories) เฉลี่ยอยู่อันดับสุดท้ายเมื่อเทียบกับ 12 ประเทศในเอเชีย และมีระดับความเข้มข้นเฉลี่ยในการออกกำลังกาย (Intensity Minute) ต่อสัปดาห์เป็นที่ 2 จากสุดท้าย
ในขณะที่แนวโน้มของข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้การ์มินที่มีระดับนาทีความเข้มข้นในการออกกำลังกาย (Intensity Minute) เฉลี่ยต่อสัปดาห์มาก จะมีความสามารถในการเบิร์นแคลอรีได้มาก ซึ่งรวมถึงแคลอรีขณะแอคทีฟ (Active Calories) และแคลอรีขณะพัก (Resting Calories) จึงสามารถสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกาย (Intensity Minute) เฉลี่ยต่อสัปดาห์ และแคลอรีขณะพัก (Resting Calories) สามารถบ่งบอกถึงระดับการเผาผลาญที่ดีได้ นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึงอัตราเผาผลาญแคลอรีขณะพัก (Resting Calories) ของผู้ใช้การ์มินที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ผู้ใช้กลุ่มนี้มีการออกกำลังกายมากกว่าเมื่อเทียบกับข้อมูลของกลุ่มคนหนุ่มสาว ซึ่งชี้ให้เห็นได้ว่าผู้ใช้งานจะใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการมีไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟ”
สกาย เชน ผู้อำนวยการ การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มคนหนุ่มสาวมักจะมีข้ออ้างเสมอเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกกำลังกาย แต่หากถามว่าทุกคนอยากเป็นเจ้าของสุขภาพที่ดีไหม คงต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ใช่’ และเมื่อทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน คือ การครอบครองสุขภาพที่ดี จึงเป็นที่มาของการสานต่อ ‘เฮลท์ แคมเปญ’ ด้วยความตั้งใจในการนำเสนอวิถีการดูแลสุขภาพในแบบฉบับ ‘สุขภาพคือสิ่งที่คุณเลือกได้’ (Health is a choice) ผ่านการใช้ 8 เทคโนโลยีด้านสุขภาพในสมาร์ทวอทช์ของการ์มินเพื่อติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังพบว่าในขณะที่สภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกัน คืออัตราการเผาผลาญของเรามีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น หากต้องการรักษารูปร่างหรือใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี ระบบเผาผลาญ คือ หนึ่งในกุญแจสำคัญเพื่อให้คุณได้ครอบครองการมีสุขภาพที่ดี
การ์มิน จึงจัด “เฮลท์ แคมเปญ” จับมือ พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ร่วมปลุกกระแสเฮลท์ตี้ ด้วย 8 เทคโนโลยีด้านสุขภาพในสมาร์ทวอทช์จากการ์มินตัวช่วยเฝ้าระวังความผิดปกติแบบต่อเนื่อง ได้แก่
-การติดตามการเผาผลาญขณะพัก (Resting Calories)
-การวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox Blood Sensor)
-การติดตามการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Function)
-การติดตามระดับความเครียด (Stress Tracking)
-การฝึกความแข็งแรง (Strength Training)
-การวัดอายุของสุขภาพ (Fitness Age)
-การติดตามการนอนหลับ (Sleep Monitoring)
-การติดตามการดื่มน้ำ (Hydration Tracking)
พร้อมชูฟีเจอร์ติดตามการออกกำลังกาย ตัวช่วยสร้างนิสัยดูแลสุขภาพ ให้คนไทยก้าวข้ามทุกข้อจำกัดของการออกกำลังกาย ตอกย้ำการสร้างค่านิยมดูแลสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมส่งต่อเทรนด์การใช้ชีวิตแบบ “แอคทีฟไลฟ์สไตล์” ในกลุ่มคนไทยทุกเพศทุกวัย
พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์วุฒิบัตรเวชศาสตร์ชะลอวัย (สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า “ระบบเผาผลาญ หรือ เมแทบอลิซึม คือ หนึ่งในกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งระบบเผาผลาญนี้ คือ กระบวนการที่ร่างกายนำอาหารที่รับประทานเข้าไป เปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ดำรงชีวิต และทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ และถึงแม้ว่าร่างกายของทุกคนจะมีความแตกต่างกัน แต่เมื่อมีอายุที่มากขึ้น ร่างกายของคนส่วนใหญ่จะมีมวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ผนวกกับฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกายที่ลดลง อย่างโกรทฮอร์โมน ส่งผลให้ระบบเผาผลาญของเราจะทำงานได้น้อยลง ซึ่งสามารถส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง อีกทั้งยังทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมระบบเผาผลาญถึงสำคัญ”
“การดูแลรักษาและช่วยชะลออัตราการเผาผลาญที่ลดลง สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราการเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มากขึ้น การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน การกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสม การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากที่การออกกำลังกายจะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญแล้ว การออกกำลังกายยังไปกระตุ้นให้เกิดการทำงานของระบบเผาผลาญส่วนที่มาจากการออกกำลังกายอีกด้วย โดยการออกกำลังกายที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ การออกกำลังกายแบบคาดิโอ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การกระโดดเชือก เป็นอย่างน้อย 150 – 300 นาทีต่อสัปดาห์ และการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น บอดี้เวท ฟรีเวท โยคะ เป็นอย่างน้อย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์”