ความท้าทายหนึ่งของประเทศไทยที่เผชิญมาตลอด 4 ทศวรรษนับตั้งแต่การเปลี่ยนประเทศเข้าสู่โลกยุคอุตสาหกรรมคือ “ความเหลื่อมเชิงพื้นที่” เศรษฐกิจของไทยใน 2563 หรือก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีมูลค่า 16.9 ล้านล้านบาท โดยปรากฏว่า 70% ของจีดีพีมากจากการผลิตสินค้าและบริการจาก 15 จังหวัดนี้เท่านั้น ซึ่งได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ นครราชสีมา และขอนแก่น ขณะรายได้ที่เหลืออีก 30% มาจาก 62 จังหวัดที่เหลือ
ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ทางการท่องเที่ยว
เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถึง “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” พบว่า 15 จังหวัดหลักมีสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวถึง 88% ขณะที่ 62 จังหวัดรองมีสัดส่วนต่อภาคการท่องเที่ยวเพียง 12% เท่านั้น
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า นับตั้งแต่ยุคบุกเบิกถึงยุครุ่งเรื่องของการท่องเที่ยวไทย การเติบโตด้านการท่องเที่ยวเผชิญกับปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่มาโดยตลอด นักท่องเที่ยวมีการกระจุกตัวในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ ส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการกระจุกตัวของรายได้จากการท่องเที่ยว
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาชี้ให้เห็นว่า ระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 วัน ซึ่งคาดการได้ว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยส่วนใหญ่ยังขึ้นอยู่กับวันหยุดยาว 3 วัน 2 คืน หรือ 2 วัน 1 คืน ในขณะเดียวกันข้อมูลจากการวิเคราะห์ mobility data เพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยความร่วมมือของดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บเองก็ชี้ให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่ 3 วันขึ้นไปเช่นเดียวกัน และยังพบว่ามีการจับกลุ่ม (คลัสเตอร์) ของจังหวัดที่นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางไปเยือนในทริปเดียวกัน กล่าวคือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเชียงใหม่ก็มักเดินทางไปยังลำพูนและลำปางด้วย หรือเดินทางไปพิจิตรก็เดินทางไปกำแพงเพชรด้วย โดยในการวิเคราะห์ในครั้งนี้พบว่า มีคลัสเตอร์ที่มีจังหวัดเมืองรองเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
–ผลสำรวจเผย นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มทำงานระหว่างท่องเที่ยวมากที่สุด
“ผลการวิเคราะห์การเดินทางท่องเที่ยวโดย mobility data ทำให้เห็นถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด มีการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดเมืองรองกับจังหวัดโดยรอบ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด เพื่อเพิ่มการเดินทางแบบพักค้างและกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองมากยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ เขตการพัฒนาการท่องเที่ยวสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้ หากมีข้อมูล mobility data ช่วยเสริมการวางแผนพัฒนา เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยว ทีมวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ทำการวิเคราะห์การจับกลุ่มคลัสเตอร์ของจังหวัดเมืองรองกับจังหวัดโดยรอบผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด พบว่าการจับกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีเมืองรองเป็นสมาชิกสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ประกอบด้วย19 กลุ่มจังหวัด ได้แก่
- กลุ่มเมืองรองแฝงเมืองหลัก เป็นกลุ่มที่มีจังหวัดเมืองรองร่วมอยู่ด้วย แต่สมาชิกในกลุ่มโดยส่วนใหญ่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ประกอบด้วย 9 กลุ่มจังหวัด
- กลุ่มเมืองรองล้อมเมืองหลัก เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกโดยส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเมืองรองอยู่ร่วมกับจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ประกอบด้วย 4 กลุ่มจังหวัด
- กลุ่มเพื่อนเมืองรอง เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีสมาชิกทั้งหมดเป็นจังหวัดเมืองรอง ประกอบด้วย 5 กลุ่มจังหวัด
- กลุ่มเมืองฝาแฝด เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกเพียง 2 จังหวัด มีจำนวน 1 คู่
ผลการวิเคราะห์จาก mobility data พบว่า มี 7 กลุ่มจังหวัดที่ถือว่าศักยภาพในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ เนื่องจากมีปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกลุ่มจังหวัดในระดับสูงมาก ได้แก่
- นครสวรรค์ อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา (กลุ่มเมืองรองล้อมเมืองหลัก)
- ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี (กลุ่มเมืองรองแฝงเมืองหลัก)
- ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (กลุ่มเมืองรองแฝงเมืองหลัก)
- บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระบุรี (กลุ่มเมืองรองแฝงเมืองหลัก)
- สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก (กลุ่มเพื่อนเมืองรอง)
- ชุมพร สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี (กลุ่มเมืองรองแฝงเมืองหลัก)
- กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี (กลุ่มเพื่อนเมืองรอง)
“จริงๆ แล้วทั้ง 19 กลุ่มจังหวัดที่มีเมืองรองเป็นสมาชิกสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบ ‘คลัสเตอร์’ ผ่านการสร้างเรื่องราวเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม และเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด รวมถึงการจัดทำโปรโมชั่นส่วนลดร้านอาหาร โรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่างจังหวัด หรืออาจพัฒนาไปถึงการสร้าง token สำหรับการท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มจังหวัดได้ด้วย” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ เสนอไอเดีย
โอกาสจากภูมิทัศน์ใหม่การท่องเที่ยว
ผลการวิเคราะห์ Mobility data ที่ทำให้เห็นพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวเป็นกลุ่มจังหวัด (คลัสเตอร์) ในครั้งนี้ ถือเป็น “โอกาส” ในการขยายฐานนักท่องเที่ยวผ่านภูมิทัศน์แบบใหม่ โดยไม่ได้ยึดถือกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางและมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใช้การเดินทางทางอากาศเป็นหลักเท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจังหวัดรอบข้าง และอาจทำให้จังหวัดเมืองรองสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กลุ่มคนชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ Road trip กลุ่มนักเดินทางแบบครอบครัว ซึ่งการท่องเที่ยวรูปแบบนี้เป็นแนวโน้มที่มาแรงในยุคหลังโควิด-19
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองยังคงมีลักษณะ one size fits all และกระตุ้นฝั่งดีมานด์เป็นหลัก เช่น นโยบายลดภาษีผ่านการท่องเที่ยว มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น แต่ด้วยความหลากหลายทางการท่องเที่ยวของเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด นโยบายแบบที่เป็นที่เป็นลักษณะ Top down อาจทำให้แต่ละจังหวัดไม่สามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่นัก ผลการวิเคราะห์ข้อมูล Mobility data ช่วยให้นโยบายการพัฒนาเมืองรองสามารถสร้างความสมดุลทางการท่องเที่ยวระหว่างฝั่งดีมานด์และซัพพลายได้เป็นอย่างดี
ติดตามเรื่องราวฉบับเต็มได้ที่ https://dtacblog.co/19-tourism-cluster/