ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวถึงทิศทางของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำแนวคิด ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยได้อธิบายถึงเทคโนโลยี SAF ที่เป็นทางเลือกใหม่ในการเติมเชื้อเพลิงเครื่องบินโดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตามข้อจำกัดที่สำคัญคือปริมาณการผลิต SAF ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจุบันทั่วโลกผลิต SAF ได้เพียง 0.1% ของความต้องการเท่านั้น
ทั้งนี้หลายประเทศเริ่มมีเป้าหมายในการใช้ SAF อย่างเช่น สิงคโปร์ ตั้งเป้าใช้ SAF 1% ภายในปี 2026 ขณะที่ยุโรปตั้งเป้าใช้ 2% ในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 10% ภายในปี 2030 และในที่สุดจะใช้ 65% ภายในปี 2050
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ มองว่า “ความท้าทายคือการเพิ่มปริมาณการผลิต SAF ซึ่งโมเดลการผลิต SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้ว ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพด้านการเพาะปลูก ก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิต SAF จากพืชพลังงาน แต่จะต้องเป็นไปโดยไม่กระทบต่อการผลิตอาหาร” พร้อมเสนอแนวทางในการผลักดัน SAF ในประเทศไทย ว่ารัฐบาลควรตั้งเป้าหมายการใช้ SAF ในสายการบินอย่างชัดเจน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ขณะที่ BAFS เองก็กำลังลงทุนในสถานีผสม SAF และศึกษาโอกาสในการลงทุนในโรงงานผลิต
ขณะเดียวกันได้แชร์มุมมองต่อการลงทุนและการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในยุค Sustainable และ การให้ความสำคัญกับหลัก ESG ว่า ผู้ประกอบการยุคนี้ควรปรับมุมคิดโดยมองว่า ESG ไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุน แต่เป็นการลงทุนในอนาคต คือการลงทุนในคน กระบวนการ และชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว และ BAFS มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการใช้ SAF ในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน
–เปิดแนวคิดสำคัญ “AIS The StartUp” ผลักดัน ESG สตาร์ทอัพไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน