สวัสดีครับ วันนี้ Biztalk Gadget จะมา รีวิว Samsung Galaxy Z Flip6 หลังจากที่เปิดตัวและวางขายมาได้สักระยะแล้ว เราจะมาคุยกันถึงเรื่องประสิทธิภาพตัวเครื่อง ว่ามันเป็นยังไง รวมถึง AI ใหม่ที่ใส่มาเพิ่มตอนเปิดตัว คนที่สนใจมือถือจอพับ ทำไมถึงควรซื้อ และคนที่ถือรุ่นก่อนหน้าควรเปลี่ยนมั้ย มาดูกันเลยครับ
เราจะมาเริ่มต้นกันที่ สเปค มาดูกันว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง อะไรที่เหมือนเดิม
หน้าจอเจ้าตัวนี้ให้ LTPO AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว เมื่อกางออก รีเฟรชเรต 120Hz รองรับความสว่างสูงสุด 2600 nits (เทียบกับตัวเก่าจะต่างกันแค่ ตัวเก่าหน้าจอไม่ใช่ LTPO และความสว่างได้แค่ 1750 nits)
ส่วนจอนอกใช้ Super AMOLED, 60Hz ความสว่างสูงสุด, 1600 nits , 3.4 inches, 720 x 748 pixels (Gorilla Glass Victus 2), 306 ppi
ด้านกระจกใช้ Gorilla Glass Victus 2 และ กรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมินัม กันน้ำลึก 1.5 เมตรได้ 30 นาที ส่วนละอองน้ำก็ไม่ต้องกังวลเพราะกันได้แน่นอน
ความหนาตัวเครื่องเจ้าตัวนี้ทำได้ดีขึ้น บางลง 0.2 มิลลิเมตร เหลือ 14.9 มิลลิเมตร แต่ทางซัมซุงก็เคลมว่า จุดพับใหม่ที่พัฒนาขึ้นมา แข็งแรงกว่าเดิมถึงแม้ตัวเครื่องจะบางลงก็ตาม
ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 187 กรัมเท่าเดิมเป๊ะ
ชิปเซ็ต แรงขึ้นตามปีที่ออกใหม่ โดยเจ้าตัวนี้ให้ Snapdragon 8 Gen 3 เช่นเดียวกัน GPU ก็อัปเกรดมาใช้ Adreno 750 และให้ RAM มา 12GB สรุปภาพรวมประสิทธิภาพคือดีขึ้นทั้งหมด
ด้านแบตเตอรี่ ก็ใส่มามากกว่าเดิมอีก 300 mAh เป็น 4000 mAh ซึ่งตรงนี้จะเห็นชัดเลยว่า จุดพับใหม่ที่เคลมว่าทำให้เครื่องบางลง ทำให้ใส่แบตเตอรี่ได้มากขึ้น โดยที่น้ำหนักเครื่องยังเท่าเดิม
ส่วนการชาร์จนั้นไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงชาร์แบบเสียบสายที่ 25W แบบไร้สาย 15W wireless และทำ Reverse wireless หรือการชาร์จไปที่อุปกรณ์อื่นได้ 4.5W
มาต่อกันที่เรื่องกล้องกันครับ
เป็นอีก 1 อย่างที่เปลี่ยนไป คือตอนเปิดตัว S Series ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่ากล้องแทบไม่เปลี่ยน แต่กับเจ้าตัวนี้ ถือว่าเปลี่ยนเลยครับ เพราะเลนส์หลักที่ให้มา 50 MP จากเดิม 12MP ทำให้เจ้าตัวนี้ถ่าย Portrait ในระยะ 2X (46 mm) ได้แล้ว ส่วนรูรับแสงให้มาที่ f/1.8 และมี OIS ไม่ต่างจากรุ่นก่อน
ส่วนเลนส์ Ultrawide ให้มาเท่าเดิมที่ 12 MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้างประมาณ 123 องศา
ด้านการถ่าย VDO ได้สูงสุดที่ 4K@30/60fps เท่ากับรุ่นก่อนหน้า
ส่วนใครที่ใช้กล้องหลังถ่ายรูปตัวเองก็ไม่ยาก เพราะสามารถเซลฟี่จากจอนอกได้ จะถือถ่าย หรือตั้งถ่ายก็ได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Cover Screen Preview ช่วยให้คนที่เรากำลังจะถ่ายรูป ได้เห็นหน้าตัวเองจากจอนอกด้วย
ส่วนกล้องหน้าที่ฝังอยู่กับหน้าจอใหญ่ ก็ยังให้มาเหมือนเดิมที่ 10 MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้างเท่าเทียบเลนส์ 23mm ถ่าย VDO ได้สูงสุดที่ 4K@30/60fps ซึ่งตรงนี้ดีกว่ารุ่นก่อนครับ
ซึ่งเอาจริงๆ กล้องหน้าที่ให้มานี้ไม่ค่อยได้ใช้กับการถ่ายรูปเท่าไหร่ครับ แต่จะไปเน้นใช้กับ Video Call ต่างๆ มากกว่า เพราะเลนส์กล้องหลังมันถ่ายเซลฟี่ได้สวยกว่า เบลอหลังได้ดีกว่า
ลองมาดูภาพถ่ายกันเล็กน้อยครับ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าคุณภาพของภาพที่ได้ ไม่ต่างจาก S24 (ที่ไม่ใช่ Ultra) เท่าไหร่ แถมกล้องของตระกูล S ยังใช้งานได้มากกว่าด้วย เพราะให้เลนส์มามากกว่า แต่ก็อย่าน้อยใจไปครับ เพราะคนที่ถือจอพับ คือกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ที่เน้นสินค้าแฟชั่น ความสะดวกในการพกพา มากกว่าจะซื้อเพื่อเอากล้องดีเป็นหลัก
จบไปแล้วนะครับ สำหรับเรื่องสเปค ลองมาดู AI กันบ้าง
ซึ่งการเปิดตัวรอบนี้ เขาให้ AI มาพิเศษกว่าเดิมอีก จนคนที่ใช้ตระกูล S ต้องหันขวับกันเลย
อย่างที่รู้กันไปแล้วว่า พวกการช่วยแปลแบบ Live Translation, การช่วยเรียบเรียงประโยค, Circle to search หรือวงตรงไหนก็ได้เพื่อค้นหา รวมไปถึง AI ที่ช่วยลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพ ตรงนี้ใช้ได้หมดครับ
ส่วนที่เพิ่มเข้ามานั้นมีฟีเจอร์อย่าง Sketch to image ที่ช่วยเราวาดรูปเข้าไปและ AI จะเปลี่ยนรูปวาดของเราเป็นรูปที่สวยงามกลับมา ซึ่งวิธีใช้งานก็ไม่ยาก คือกดไปที่ไอคอนรูปดาว จากนั้นจะเห็นคำว่า Sketch to image ขึ้นมา ก็กดเข้าไป จากนั้นก็วาดรูปเลย และกด Generate จากนั้น AI ก็จะเลือกรูปมาให้เราประมาณ 4 แบบ ง่ายๆ แค่นี้เอง
อีกหนึ่งฟีเจอร์คือ Portrait Studio ตรงนี้เท่าที่ลองจะใช้ได้กับหน้าคนเท่านั้น คือถ้ารูปไม่ใช่หน้าคน ฟีเจอร์นี้จะไม่ขึ้นมา ง่ายๆ เหมือนเดิมคือกดไปที่ไอคอนรูปดาว และเลือก Sketch to image จากนั้นก็เลือกว่าอยากได้รูปแนวไหน ซึ่งตอนนี้มีแค่ 4 ตัวเลือก จากนั้นก็รอให้ AI มันทำรูปให้ ง่ายๆ เหมือนเดิม
ด้าน AI ใหม่ๆ ก็ประมาณนี้ครับ เรามาดูการใช้งานจอพับกันอีกสักเล็กน้อย สำหรับคนที่ยังไม่เคยใช้จอพับของทางซัมซุง ซึ่งวิธีการตั้งค่าก็เหมือนกันรุ่นก่อนเลย
มาเริ่มต้นกันที่ การกางออกเพื่อรับสาย และ พับเพื่อวางสาย กันก่อนเลยครับ
วิธีตั้งค่าก็ง่ายๆ เข้าไปที่หน้า Call หรือโทรออก จากนั้นตรงมุมขวาบน เราจะเห็น จุดสามจุด กดลงไปมันจะขึ้นเมนู Setting หรือการตั้งค่ามาให้ จากนั้นก็หาคำว่า Flip Options จากนั้นก็กดเปิดตรง Open Phone to answer calls และ Close phone to end calls แค่นี้เวลามีสายเข้า เราก็แค่กางโทรศัพท์ออกมาก็จะเป็นการรับสายแล้ว และพอคุยเสร็จก็แค่พับ ไม่ต้องไปกดปุ่มวางสายอีกต่อไป
ส่วนการใช้งานจอนอกให้ทำงานได้มากกว่าเดิม ใช้งานบางแอปฯ ได้โดยไม่ต้องกางโทรศัพท์ออกมา ลองมาดูขั้นตอนกันเลยครับ
เริ่มต้นให้เราเข้าไปที่ Galaxy Store กันก่อน จากนั้นก็ค้นหาแอปฯ Good lock โหลดมาติดตั้งเลยครับ
พอติดตั้งเสร็จก็กดเข้าไปที่แอปฯ Good lock คลิกแถบ Life up ตรงด้านล่าง และมองหาแอปฯ MultiStar กดโหลดเลย จากนั้นจะเห็นแถบด้านบนมันขึ้น MultiStar มาแล้ว ก็กดเข้าไปครับ จากนั้นก็เข้าไปกดเลือกตรง I love galaxy foldable เลือก Launcher widget และเราก็จะเห็นรายชื่อแอปฯ ทั้งหมดที่เราเลือกให้มันมาเล่นในหน้าจอเล็กได้ครับ
ยังไม่จบ จากนั้นกลับมาที่หน้า Setting ของโทรศัพท์ มองหาเมนู Cover Screen จากนั้นลงมาด้านล่างสุด จะเห็นเมนู Apps allowed on cover screen (Labs) กดเข้าไปเลยครับ แล้วก็จะเห็นคำว่า Apps Allowed on cover screen ก็กดเข้าไปอีก จากนั้นก็เลือกแอปฯ ที่เราอยากให้มันเล่นที่หน้าจอพับได้เลย
จากนั้นลองพับจอ ก็จะเห็นไอคอนของแอปที่เราเลือกมันมาโผล่ในหน้านี้แล้วครับ
ก็ประมาณนี้ครับ สำหรับการ รีวิว Samsung Galaxy Z Flip6 สำหรับราคา เขาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 42,900 บาท ในรุ่นความจุ 256GB ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ใครที่กำลังมองหามือถือจอพับสักตัว ผมว่าเจ้าตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ตัวนึง ประเด็นหลักก็คือ เขาพัฒนามานานมากๆ และทำตลาดในไทยมานาน เพราะฉะนั้นการหาอุปกรณ์เสริมมันง่ายกว่าหลายๆ แบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดจอพับมากๆ แถมการคิดดีไซน์ตัวเครื่องก็ตอบโจทย์สายแฟชั่นมากๆ ครับ
แล้วคุณผู้ชมคิดเห็นอย่างไร ก็คอมเมนต์มาพูดคุยกันได้ครับ สำหรับวันนี้ ผม แสบ ทรงกลด ลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ
